การตรวจ ABI วัดความแข็งตัวของเลือด วินิจฉัยโรคหลอดเลือดแดงตีบตัน
ABI (Ankle Brachial Index) คือ การตรวจหลอดเลือดแดงบริเวณส่วนปลายตีบส่วนเส้นเลือดใหญ่ที่ขาและแขนเพื่อวัดความดันโลหิต ด้วยการเจาะเลือดแล้วนำผลลัพธ์ทั้ง 2 ส่วนมาเปรียบเทียบกัน เพื่อนำผลชี้วัดของสัดส่วนนี้ไปวินิจฉัยอาการของหลอดเลือดตีบหรือไม่


ความสำคัญของการตรวจ ABI คืออะไร และเหตุผลที่ต้องทำการตรวจ
การตรวจสมรรถภาพการไหลเวียนของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย หรือการตรวจวัดความแข็งตัวของหลอดเลือด Ankle Brachial Index : ABI หรือเรียกว่า การตรวจ ABI คือ การตรวจหาการตีบตันของหลอดเลือดแดงส่วนปลายที่ขา เพื่อประเมินว่าเป็นโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายหรือไม่ Peripheral Arterial Disease : PAD เนื่องจากผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดหัวใจได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป ภาวะโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ PAD ภาวะโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบเป็นอาการแสดงที่สำคัญของภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว หรือมีไขมันเกาะแทรกในหลอดเลือดซึ่งมีผลต่อระบบการไหลเวียนโลหิตของร่างกาย และทำให้หลอดเลือดแดงที่ขาตีบหรือตัน โดยเฉลี่ยมีโอกาสพบได้ประมาณ 12% ของแต่ละช่วงอายุ ในคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี พบโรคนี้น้อยกว่า 3% แต่ในคนที่อายุมากกว่า 70 ปี พบถึง มากกว่า 20% ในผู้ที่มีภาวะโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบนั้น สามารถพบทั้งในเพศชายและเพศหญิงไม่ต่างกัน ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงที่ขาตีบแม้จะไม่มีอาการใดๆปรากฎ แต่ก็มีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองสูง ซึ่งในความเป็นจริงผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคหลอดเลือดแดงที่ขาตีบก็เสียชีวิตจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองได้ แม้ว่าจะไม่มีประวัติอาการสัมพันธ์กับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือโรคหลอดเลือดสมองตีบมาก่อนก็มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้อย่างใกล้เคียงกัน
โดยส่วนมากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบที่ตรวจพบด้วยเครื่องตรวจสมรรถภาพหลอดเลือดแดง (ABI Ankle-brachial index) จะไม่แสดงอาการต่อเมื่อเส้นเลือดตีบมากขึ้น และทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนนั้นไม่พอ ส่วนใหญ่มักจะมีอาการปวดมากขึ้นขณะเดินร่วมกับเป็นตะคริวที่ขาหรือแขน ซึ่งเกิดได้จากการกระตุ้นหลังทำกิจกรรมแต่จะหายไปเมื่อได้พัก และตำแหน่งที่มีอาการปวดนั้นสัมพันธ์และขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีการตีบแคบของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ซึ่งจะพบได้บ่อยบริเวณน่อง และอาการที่ร้ายแรงของโรคนี้นอกจากทำให้มีความไม่สุขสบายเกิดขึ้นแล้วนั้น ยังสามารถทำให้เกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ด้วย โดยจะมีลักษณะเฉพาะคือเป็นมากขึ้นหรืออาการแย่ลงขณะเดิน และจะเริ่มมีอาการปวดเมื่อเดินได้ระยะทางใกล้เคียงกัน อาการจะเป็นๆ หายๆ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Intermittent Claudication และเมื่อเส้นเลือดตีบเพิ่มมากขึ้นจะเกิดอาการปวดมากขึ้นขณะพัก หรือแม้พักแล้วไม่หายหรืออาการไม่ดีขึ้น
นอกจากนี้อาการรุนแรงของโรค ยังมีอาการที่พบได้นอกจากที่กล่าวข้างต้น ดังนี้
มีอาการปวด มีตะคริว บริเวณสะโพกด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้าน บริเวณน่องหรือต้นขาส่วนบนเกิดหลังจากทำกิจกรรม เช่น การเดิน หรือขึ้นบันได
ขาชาหรืออ่อนแรง
อาการเย็นที่ขาส่วนล่างหรือฝ่าเท้า โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับส่วนอื่นๆของร่างกาย
อาการปวดบริเวณนิ้ว ฝ่าเท้า หรือขา เมื่อพักแล้วอาการไม่ดีขึ้น
ขามีลักษณะสีที่เปลี่ยนแปลง อาจคล้ำขึ้นกว่าปกติ หรือร่วมกับมีลักษณะมันวาว
ผมร่วง หรือ ยาวช้าบริเวณขาและฝ่าเท้า
มีชีพจรที่เท้าเบา หรือไม่มีชีพจรที่เท้า
ปวดหรือมีตะคริวเมื่อต้องใช้แขนทำกิจกรรม เช่น มีอาการขณะถักไหมพรม ขณะเขียน หรือประกอบกิจกรรมทั่วไป





Previous image
Next image
เมื่ออาการของโรค PAD ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อาการปวดจะเพิ่มมากขึ้น ขณะพักหรือนอนอาการไม่ทุเลาลดลง ซึ่งจะรบกวนและทำให้ไม่สุขสบายเพิ่มมากขึ้น หรือแม้กระทั่งนอนพักก็ไม่สามารถพักได้ วิธีที่แนะนำให้ทำเพื่อบรรเทาอาการปวดได้ชั่วคราว คือการห้อยขาบริเวณขอบเตียงนอน หรือเดินรอบห้องผู้ที่สมควรได้รับการตรวจ และอาการที่ควรรีบมาพบแพทย์ เมื่ออาการปวดหรือชาบริเวณขาเพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่ไม่มีอาการแสดงของโรค แต่มีความเสี่ยงที่ต้องรีบตรวจคัดกรอง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง ได้แก่
-
อายุมากกว่า 65 ปี
-
อายุมากกว่า 50 ปี ที่มีประวัติโรคเบาหวาน หรือประวัติสูบบุหรี่มาก่อน
-
อายุน้อยกว่า 50 ปี ร่วมกับเป็นโรคเบาหวาน
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค PAD ได้แก่
ภาวะอ้วน
ความดันโลหิตสูง
ประวัติสูบบุหรี่
ภาวะโคเลสเตอรอลสูง
ประวัติครอบครัวเป็นโรค PAD โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดสมอง
ผลการตรวจร่างกายพบว่า มีค่า Homocysteine และ Lipoprotein ที่สัมพันธ์กับการแข็งตัวของหลอดเลือดแดง ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคเรื้อรังอื่นๆ