IVF เด็กหลอดแก้ว แก้ปัญหามีบุตรยาก

ศูนย์เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ (IVF)

       “ทำไมไม่ท้องสักที” หากคุณเป็นคู่สมรสที่แต่งงานกันมามากกว่า 1 ปี มีเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ 2-3 ครั้ง / สัปดาห์ และไม่มีการใช้วิธีคุมกำเนิดใดๆ แต่ก็ยังไม่มีเจ้าตัวน้อยอย่างที่คาดหวังไว้ คุณอาจเข้าข่ายภาวะการมีบุตรยาก (Infertility) แต่ไม่ต้องกังวลใจ เพราะปัญหานี้สามารถปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อหาแนวทางแก้ไขได้
 
       โรงพยาบาลปิยะเวท ได้พัฒนา “ศูนย์เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์” ขึ้น เพื่อรองรับคู่สมรสที่มีปัญหาการมีบุตรยาก สุภาพสตรีที่มีอายุมากกว่า 35 ปี กลุ่มที่แท้งซ้ำซ้อน ตลอดจนกลุ่มที่มีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม พร้อมมอบบริการที่ครอบคลุม ตั้งแต่การให้คำปรึกษา สืบค้นหาสาเหตุ ตรวจค้นเพิ่มเติม และให้การรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้วยเทคนิคการรักษาที่หลากหลาย เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) อิ๊กซี (ICSI) ฉีดเชื้อผสมเทียม (IUI) รวมถึงเทคนิค PGD และ PGS มาตรวจคัดกรองโครโมโซมที่ผิดปกติ ก่อนย้ายตัวอ่อนไปฝังตัวในโพรงมดลูก
 
       ปัจจุบัน ศูนย์เวชศาสตร์การเจริญพันธ์ โรงพยาบาลปิยะเวท มีอัตราความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้วสูงเทียบเท่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป และยังวางแผนเพื่อพัฒนาการให้บริการต่อไปอย่างต่อเนื่อง เช่น การนำเทคโนโลยีใหม่อย่าง Array CGH มาใช้ตรวจโครโมโซมได้ครบทั้ง 24 คู่ เพื่อตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมได้อย่างครอบคลุมและแม่นยำมากขึ้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพ พร้อมทั้งให้กำเนิดลูกน้อยที่ปลอดโรคทางพันธุกรรมด้วย

เทคนิคการรักษา

       In vitro fertilization (IVF) ทางเลือกหนึ่งในการทำเด็กหลอดแก้ว เป็นการปฏิสนธิภายนอกร่างกายที่ปล่อยให้มีการคัดเลือกตามธรรมชาติ โดยอสุจิ
ตัวที่แข็งแรงที่สุดจึงจะสามารถปฏิสนธิกับไข่ได้ โดยใช้เทคนิคการนำไข่และอสุจิมาผสมให้เกิดการปฏิสนธิกลายเป็นตัวอ่อนในห้องทดลอง หลังจากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่เกิดขึ้นใส่กลับเข้าโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะผู้มีบุตรยากที่ไม่รุนแรง ผลสำเร็จโอกาสตั้งครรภ์ 15-35%
       การตรวจวินิจฉัยความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนการฝังตัว Preimplantation Genetic Diagnosis (PGD) เหมาะสำหรับคู่สมรสที่มี
ความกังวลว่าตนจะเป็นพาหะหรือเป็นโรคทางพันธุกรรม และถ่ายทอดความผิดปกตินี้ให้แก่บุตร โดยทั่วไปคู่สมรสที่มีปัญหาเรื่องภาวะมีบุตรยากหรือแท้งซ้ำซ้อนสามารถพบความผิดปกติทางพันธุกรรมได้ถึง 10% และ 30% ตามลำดับ โรคทางพันธุกรรมก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจของเด็กและคู่สมรส เพราะฉะนั้นการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรคจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ปัจจุบัน โรงพยาบาลปิยะเวทสามารถคัดกรองโรคทางพันธุกรรมได้ถึง 600 โรค
       Preimplantation Genetic Screening (PGS) เป็นการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซม โดยที่พ่อและแม่เจ้าของตัวอ่อนไม่มีโรค หรือไม่เป็นพาหะของโรคทาง พันธุกรรมใด ก่อนฝังตัวอ่อนกลับเข้าไปในโพรงมดลูก ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว โดยมีจุดประสงค์หลักคือคัดกรองผิดปกติที่รุนแรงซึ่งมีผลต่อการฝังตัว เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จของการตั้งครรภ์ และลดอัตราการแท้งลง
       Array-based comparative genomic hybridization คือนวัตกรรมล่าสุดในการตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมครบทั้ง 24 ตัว ให้ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำสูงถึง 98-99% สามารถตรวจหาการขาดหายหรือเกินมาของชิ้นส่วนโครโมโซมขนาดเล็กได้มากถึง 40-50%  ซึ่งสามารถพบในผู้หญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี การทำ Array CGH ยังได้ผลดีในคู่สมรสที่มีปัญหาแท้งซ้ำซ้อน ภรรยาอายุมาก (38 ปีขึ้นไป) มีประวัติการตั้งครรภ์ที่ทารกมีความผิดปกติทางพันธุกรรมในท้องก่อน และคู่สมรสที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้วตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ป่วยจะต้องผ่านขบวนการการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) และตัดชิ้นเนื้อตัวอ่อนเพื่อนำมาตรวจทางพันธุกรรมต่อไป
       การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก Intrauterine Insemination (IUI) คือการฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกเล็กๆ สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในช่วงที่มีหรือใกล้กับเวลาไข่ตก มักทำกับคู่สมรสที่หาสาเหตุของภาวะมีบุตรยากไม่พบ ฝ่ายชายที่มีเชื้ออสุจิต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการหลั่งอสุจิในช่องคลอด หรือฝ่ายหญิงที่มีปัญหาเรื่องภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) มีปัญหาเรื่องการตกไข่ เป็นต้น
       Intracytoplasmic Sperm Injection (ICSI) เป็นการใช้เทคนิคในห้องปฏิบัติการเลือกตัวสเปิร์มที่แข็งแรงที่สุด จากนั้นใช้เข็มเจาะและฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรง เพื่อช่วยให้เกิดการปฏิสนธิ เหมาะสำหรับฝ่ายหญิงที่เปลือกไข่แข็งหรือหนา ฝ่ายชายที่มีน้ำเชื้ออสุจิน้อยกว่า 2 ล้านตัวต่อมิลลิลิตร อสุจิไม่สมบูรณ์ มีความผิดปกติในการหลั่งน้ำอสุจิแล้วย้อนกลับเข้ากระเพาะปัสสาวะข้อดีของวิธีนี้คือช่วยลดการเกิดทารกที่มีอาการดาวน์ซินโดรม รวมไปถึงความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย โรคกล้ามเนื้อลีบได้
 
       ทางโรงพยาบาลปิยะเวทยังได้นำเทคโนโลยี Laser Mediated ICSI มาใช้ในการยิงเลเซอร์เพื่อเปิดเปลือกไข่ก่อน แล้วค่อยแทงเข็มปล่อยสเปิร์มเข้าไป ซึ่งต้องใช้นักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

เทคโนโลยีทางการรักษา

เด็กหลอดแก้ว (IVF : In Vitro Fertilisation)

       IVF หรือ การปฏิสนธินอกร่างกาย คือเทคนิคการนำไข่และอสุจิมาผสมให้เกิดการปฏิสนธิกลายเป็นตัวอ่อนในห้องทดลอง หลังจากนั้นจึงนำตัวอ่อนที่เกิดขึ้นใส่กลับเข้าโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์  โดยมีขั้นตอนหลัก ได้แก่ การกระตุ้นไข่ ติดตามการเจริญเติบโตของไข่ และเก็บไข่ หลังจากนั้นนำไข่มาผสมกับเชื้ออสุจิในห้องทดลอง เพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ โดยต้องควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซต่างๆ ในบรรยากาศให้เหมาะสม และใช้น้ำยาเลี้ยงตัวอ่อนที่เตรียมไว้เป็นพิเศษ ประมาณ 16-18 ชั่วโมงหลังการปฏิสนธิ จะเริ่มเกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน
 
       หลังจากนั้นอีก 24 ชั่วโมง จะมีการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อนระยะ 2-4 เซลล์ และเป็นตัวอ่อนระยะ 8-12 เซลล์ ในอีก 24 ชั่วโมงต่อมา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการเลี้ยงตัวอ่อนต่ออีกประมาณ 3-5 วัน แล้วจึงย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก เพื่อให้มีการฝังตัวและเจริญเติบโตต่อไป โดยปกติตัวอ่อนจะถูกใส่กลับจำนวน 2-3 ตัว ถ้ามีเหลืออยู่อีกและเป็นตัวอ่อนที่แข็งแรง ก็จะแช่แข็งเก็บไว้ให้ ซึ่งสามารถนำมาใส่กลับได้อีกในรอบการรักษาถัดไป

ข้อบ่งชี้ในการทำ IVF (การปฏิสนธินอกร่างกาย)

  • ฝ่ายหญิงมีความผิดปกติของท่อนำไข่ตีบหรือตันทั้งสองข้าง
  • ฝ่ายหญิงมีพังผืดในอุ้งเชิงกรานมาก และรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
  • ฝ่ายหญิงมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และรักษาภาวะนี้แล้วด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
  • เชื้ออสุจิฝ่ายชายคุณภาพไม่ดี  ซึ่งรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
  • ภาวะมีบุตรยากที่ไม่ทราบสาเหตุ

อัตราการประสบความสำเร็จ

       ในแต่ละรอบเดือนที่มีการเก็บไข่ และย้ายตัวอ่อน จะมีอัตราการตั้งครรภ์ประมาณ 30-40% ทั้งนี้ขึ้นกับอายุของฝ่ายหญิงด้วย

การตั้งครรภ์จากการปฏิสนธินอกร่างกายจะปกติหรือไม่

       ผู้ที่ตั้งครรภ์จากการรักษาวิธีนี้ จะมีโอกาสแท้งบุตรประมาณร้อยละ 15-20 จากข้อมูลจนถึงปัจจุบัน ทารกที่เกิดมาจะมีโอกาสเกิดความพิการไม่แตกต่างจากการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กก็เป็นปกติ

ความโดดเด่นของศูนย์เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์

7 ขั้นตอนของการทำ IVF และเทคนิค PGS : PGD

       เริ่มต้นขั้นตอนแรกด้วยการพบแพทย์ เพื่อซักประวัติและตรวจร่างกาย ค้นหาสาเหตุและทำการทดสอบต่อไปนี้
สำหรับผู้หญิง
       1. การตรวจเลือดวิเคราะห์ผลทางห้องปฎิบัติการ (Lab)
ตรวจหาเชื้อและหาภูมิไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg, Anti-HBs)
       • ตรวจหาเชื้อเอดส์ (Anti-HIV)
ตรวจเชื้อซิฟิลิส (VDRL)
       • ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน (Rubella IgG)
       • ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
       • ตรวจหาหมู่เลือดและความเข้ากันได้ของเลือด (ABO-RH)
       • ตรวจหาความเสี่ยงโรคธาลัสซีเมีย (Hb Typing)
       2. ข้อมูลฮอร์โมน (FSH, E2, Progesterone)
       3. อัลตร้าซาวด์ช่องคลอด (Transvaginal)
 
สำหรับผู้ชาย
       1. การตรวจเลือดวิเคราะห์ผลทางห้องปฎิบัติการ (Lab)
       • ตรวจหาเชื้อและหาภูมิไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg, Anti-HBs)
       • ตรวจหาเชื้อเอดส์ (Anti-HIV)
ตรวจเชื้อซิฟิลิส (VDRL)
       • ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
       • ตรวจหาหมู่เลือดและความเข้ากันได้ของเลือด (ABO-RH)
       • ตรวจหาความเสี่ยงโรคธาลัสซีเมีย (Hb Typing)
       2. การวิเคราะห์น้ำอสุจิคอมพิวเตอร์ (ผลตรวจใช้เวลา1 วัน)
       เริ่มในวันที่ 2 หรือ 3 ของการมีประจำเดือน โดยทำการฉีดยากระตุ้นไข่ทุกวัน ประมาณ 9-12 วัน ทั้งนี้ผู้ป่วยสามารถฉีดยาได้ที่โรงพยาบาลหรือนำยากลับบ้านเพื่อฉีดด้วยตนเอง ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับบริการ หลังจากฉีดยา 5-6 วัน จึงตรวจอัลตร้าซาวด์ เพื่อตรวจสอบขนาดของไข่ หลังจากนั้นอีก 5-6 วัน นัดผู้ป่วยซ้ำเพื่อดูขนาดของไข่ ก่อนทำการฉีดกระตุ้นให้ไข่ตก
       ก่อนเก็บไข่ ผู้ป่วยต้องฉีดยากระตุ้นให้ไข่ตกประมาณ 36-40 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกเต็มที่ การเก็บไข่สามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ใช้หัวอัลตร้าซาวด์สอดเข้าทางช่องคลอด เพื่อเป็นแนวทางให้เข็มเข้าไปในรังไข่ ขั้นตอนนี้จะรักษาโดยให้ยาระงับประสาททางหลอดเลือดดำ โดยไม่ทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวด ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และในวันเดียวกัน สามีต้องมาเก็บอสุจิ เพื่อจะเตรียมสำหรับผสมกับไข่ โดยแจ้งล่วงหน้า 2-3 วัน
 
หมายเหตุ: การแช่แข็งอสุจิสามารถเก็บวันใดวันหนึ่งก่อนที่จะเจาะไข่
       ผู้ป่วยต้องใช้ยาฮอร์โมนในรูปแบบทานและเหน็บช่องคลอด เพื่อเตรียมผนังมดลูกให้มีความเหมาะสม พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน
       เป็นการทำการปฏิสนธิของไข่และอสุจิภายนอกร่างกายในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด (ในห้องทดลอง) แล้วเลี้ยงตัวอ่อนไปอีกประมาณ 5-6 วันหลังจากปฏิสนธิ กระทั่งตัวอ่อนพัฒนาขึ้นไปสู่ระยะ Blastocyst
 
       ทางโรงพยาบาลปิยะเวทมีห้องทดลองที่พร้อมและทันสมัย บวกกับบุคลากรที่ชำนาญ จึงสามารถเลี้ยงตัวอ่อนได้อย่างปลอดภัยจนถึงระยะ Blastocyst และขั้นตอนนี้ยังเป็นการคัดตัวอ่อนไปในตัว เพื่อหาตัวอ่อนที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งจะต้องใช้เทคนิคการตรวจโครโมโซมก่อนการฝังตัวอ่อนเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อป้องกันความผิดปกติของโครโมโซม
       ตัวอ่อนจะถูกย้ายผ่านทางท่อพลาสติกเล็กๆ บางๆ ผ่านทางช่องคลอดเข้าไปในโพรงมดลูก ภายใต้การนำของอัลตร้าซาวด์ และตัวอ่อนจะถูกวางไว้ในที่ที่ดีที่สุดในโพรงมดลูก ซึ่งเป็นขั้นตอนการรักษาที่ผู้ป่วยไม่มีความเจ็บปวด เมื่อใส่ตัวอ่อนเรียบร้อยแล้วผู้ป่วยจะนอนพักประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนกลับบ้าน
       ผู้ป่วยจะได้รับยาฮอร์โมนเพื่อพยุงการฝังตัวของตัวอ่อน หลังจากใส่ตัวอ่อนไปแล้ว 10 วัน แพทย์จะทำการทดสอบการตั้งครรภ์ โดยตรวจหาระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ (Beta-hCG) ที่เพิ่มขึ้น และตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อเป็นการยืนยันการตั้งครรภ์อีกครั้ง หลังค่าฮอร์โมนการตั้งครรภ์ขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์

เทคนิค PGD/PGS ด้วยเทคโนโลยี Array CGH
เป็นการนำเซลล์จากตัวอ่อนมาตรวจความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซม

       การตรวจความผิดปกติของโครโมโซม เพื่อคัดตัวอ่อนระยะก่อนการฝังตัว (PGD & PGS) สามารถตรวจความผิดปกติของโครโมโซมได้ทั้ง 24 ตัว ทำให้เพิ่มอัตราความสำเร็จจากการทำเด็กหลอดแก้ว และลดอัตราการแท้งบุตร
 
ช่วงการเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการ ก่อนที่จะย้ายสู่โพรงมดลูกให้ฝังตัวเกิดเป็นการตั้งครรภ์นั้น เราสามารถดึงเอาเซลล์เพียงเล็กน้อยจากตัวอ่อนมาตรวจหาความผิดปกติของพันธุกรรมและโครโมโซมได้ โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูตัวอ่อนและใช้เข็มแก้วขนาดเล็กดูดเอาเซลล์ตัวอย่างออกมาตรวจ จึงไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อโอกาสการอยู่รอดของตัวอ่อนหลังจากย้ายสู่โพรงมดลูกแล้ว 
 
การตรวจความผิดปกติของโครโมโซมตัวอ่อน ( Pre-Implantation Diagnosis; PGD)
       คือการวินิจฉัยความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เฉพาะเจาะจงกับโรคบางอย่าง ก่อนที่จะนำตัวอ่อนย้ายสู่โพรงมดลูก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของทารกในกลุ่มที่พ่อแม่มีโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย โรคเกี่ยวกับเม็ดเลือดแดง โรคซีสติกไฟโบรซีส รวมไปถึงโรคอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนใหญ่วิธีนี้จะแนะนำให้คู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งคู่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นพาหะหรือเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ หรือเคยมีบุตรที่เป็นโรคทางพันธุกรรม ซึ่งหมายความว่าด้วยวิธีการนี้เราสามารถจะคัดเลือกแต่ตัวอ่อนที่แข็งแรงและไม่เป็นโรคทางพันธุกรรมเท่านั้นในการย้ายสู่โพรงมดลูก
 
การตรวจคัดกรองตัวอ่อนก่อนการฝังตัว (Pre-Implantation Screening; PGS)
       เป็นขั้นตอนคล้ายกับ PGD แต่จะทำการทดสอบในตัวอ่อนที่พ่อแม่ปกติไม่มีโรคทางพันธุกรรม เพื่อตรวจสอบความผิดปกติของโครโมโซมที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป (เช่น โรคดาวน์ซินโดรม) ซึ่งจะแนะนำวิธีการนี้สำหรับคู่สมรสที่จะรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีปฏิสนธินอกร่างกาย(IVF) และมีความเสี่ยงจะเกิดความผิดปกติ เช่น เคยมีบุตรที่มีความผิดปกติมาก่อน หรือเมื่อฝ่ายหญิงอายุเกิน 40 ปี

ณ ชั้น 12 โรงพยาบาลปิยะเวท เปิดทุกวัน เวลา 08.00 - 19.00 น. โทร : 02 625 6555