แผลร้อนใน (Aphthous Ulcers)
คือแผลขนาดเล็กและตื้น มีสีเหลืองหรือขาวล้อมรอบด้วยสีแดง เกิดขึ้นที่เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากหรือเหงือก บางรายก็พบว่าเกิดขึ้นบริเวณด้านในริมฝีปาก แก้มหรือลิ้น เป็นแผล ทำให้เกิดความเจ็บและรับประทานอาหารหรือพูดคุยได้ลำบาก โดยส่วนใหญ่ แผลร้อนในจะสามารถหายไปได้เองใน 1-2 สัปดาห์ โดยที่ไม่ต้องรักษา แต่ก็มีวิธีต่าง ๆ ที่จะช่วยบรรเทาอาการของแผลร้อนในได้ แต่หากพบว่าแผลร้อนในมีขนาดใหญ่กว่าปกติหรือมีความเจ็บปวดมากกว่าปกติ และไม่มีทีท่าว่าจะหายไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการรักษา
อาการร้อนใน
อาการแผลร้อนในจะเป็นแผลบวมแดงและเจ็บขึ้นในช่องปาก เช่น บริเวณแก้ม ลิ้นหรือด้านในริมฝากปาก เป็นแผลสีแหลืองหรือขาวเป็นวงกลมหรือรี บวมแดงและมีอาการเจ็บที่แผล บางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองบวม เป็นไข้ หรือรู้สึกไม่สบาย หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์
- แผลร้อนในที่ใหญ่กว่าปกติ
- แผลเดิมยังคงอยู่ แต่มีแผลใหม่เกิดขึ้นก่อนแผลเก่าจะหาย หรือพบว่าเป็นบ่อย
- เป็นแผลร้อนในนาน2 สัปดาห์หรือมากกว่า หรือลุกลามไปยังบริเวณริมฝี หรือแผลที่ไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง
- มีอาการกลืนเจ็บหรือกลืนลำบาก ร่วมด้วย
- ผู้ที่มีผิวฟันแหลม หรือมีอุปกรณ์ทันตกรรมในช่องปากที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนใน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข้
สาเหตุของอาการร้อนใน
สาเหตุของการเกิดแผลร้อนในยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยโอกาสที่จะเป็นแผลร้อนในจะเพิ่มมากขึ้นหากพบว่ามีสมาชิกในครอบครัวมักเป็นแผลร้อนใน ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมหรือปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่เหมือนกัน เช่น เกิดจากสารก่อภูมิแพ้หรืออาหารบางชนิด รวมไปถึงสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดแผลร้อนใน ได้แก่
- การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียในช่องปาก
- การบาดเจ็บที่ปาก
- ความเครียด
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่นช่วงมีประจำเดือน
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
- การแพ้อาหาร
- การขาดวิตามินและแร่ธาตุ
การวินิจฉัยอาการร้อนใน
โดยทั่วไป การเป็นแผลร้อนอาจไม่ต้องทำการทดสอบใด ๆ แพทย์หรือทันตแพทย์สามารถระบุโรคได้ด้วยการตรวจดูที่แผล แต่ในบางกรณี ที่เป็นรุนแรงและต่อเนื่อง แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือดและตรวจชิ้นเนื้อเพิ่มเติมในกรณี
- มีความผิดปกติหรือความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
- เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมน
- ขาดวิตามินหรือแร่ธาตุ
การรักษาด้วยตนเอง
- แผลร้อนในสามารถหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ผู้ป่วยดูแลตัวเองได้ด้วยการรักษาสุขอนามัยในช่องปาก เช่น การแปรงฟันโดยใช้แปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม และใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก หรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด เพื่อให้แผลร้อนในหายได้เร็วขึ้น รวมไปถึงดื่มนม รับประทานโยเกิร์ตหรือไอศกรีมที่มีความเย็น ก็สามารถช่วยลดความเจ็บปวดจากแผลร้อนในได้
- แผลร้อนในอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดที่รุนแรงมาก ซึ่งสามารถลดลงได้ด้วยการกลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากอ่อน ๆ หรือน้ำเกลือ
- ยาใช้เฉพาะที่บางชนิดที่หาได้ตามร้านขายยาทั่วไป ก็สามารถบรรเทาอาการเจ็บแผลร้อนในได้ เช่น ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide)
การรักษาโดยแพทย์
ผู้ป่วยควรพบแพทย์หากเป็นแผลร้อนในนานกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งรักษาด้วยตัวเองแล้วอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาบ้วนปากต้านแบคทีเรีย หรือยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของยาเดกซาเมทาโซน (Dexamethasone) หรือยาลิโดเคน (Lidocaine) เพื่อลดการอักเสบและความเจ็บปวด นอกจากนั้น แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาคอร์ติโคสเตอรอยด์ เช่น ยาไตรแอมซิโนโลน (Triamcinolone) ในบางกรณี
ภาวะแทรกซ้อนของอาการร้อนใน
หากเป็นแผลร้อนใน และปล่อยไว้เป็นเวลานานโดยไม่ได้ทำการรักษา อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น
- เกิดความเจ็บและลำบากในการพูด แปรงฟัน หรือรับประทานอาหาร
- เกิดความอ่อนเพลีย
- เป็นไข้
- เกิดการอักเสบของผิวหนังบริเวณข้างเคียง
- ผู้ป่วยควรพบแพทย์ หากเจ็บปวดมากจนทนไม่ไหว รักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ได้ผล เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดปัญหารุนแรง หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว
การป้องกันอาการร้อนใน
แผลร้อนในมักเกิดจากสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้ เช่น อาการเจ็บป่วย หรือกรรมพันธุ์ ดังนั้นจึงป้องกันการเกิดอาการได้ยาก แต่สามารถลดความถี่ในการเป็นแผลร้อนในให้น้อยลงได้ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- การดูแลสุขภาพและอนามัยของช่องปากแปรงฟันหลังมื้ออาหารเป็นประจำหรือใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง จะช่วยให้ช่องปากสะอาดไม่มีเศษอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดแผลร้อนใน ควรหลีกเลี่ยงยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโซเดียม ลอริล ซัลเฟตหรือหลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่ง นอกจากนั้น สำหรับผู้ที่จัดฟันอาจมีส่วนที่มีความคมทำให้บาดและอาจเกิดแผลร้อนในได้ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาทางป้องกัน
- การรับประทานอาหารพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่จะทำให้เกิดความระคายเคืองในปาก เช่น ถั่วทอด มันฝรั่งทอด อาหารที่มีรสจัด อาหารเค็มจัดและผลไม้ที่มีกรดมาก เช่น สับปะรด ส้ม รวมไปถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้ การรับประทานอาหารครบห้าหมู่ รวมทั้งผัก ผลไม้เพื่อสุขภาพจะช่วยป้องกันการขาดวิตามินและแร่ธาตุ