จอตา
บทนำ: ทำความรู้จัก จอตา
ทุกเช้าที่คุณลืมตาขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นอาจดูธรรมดาและคุ้นเคย ทว่าเบื้องหลังการมองเห็นนั้นกลับเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอวัยวะสำคัญที่เรียกว่า “จอตา” (Retina) ซึ่งเป็นดั่งหัวใจหลักของระบบการมองเห็น เพราะจอตาทำหน้าที่รับแสงและแปลงเป็นสัญญาณประสาทส่งผ่านไปยัง เส้นประสาทตา เพื่อให้สมองแปลผลเป็นภาพ จอตาหลุดลอก เป็นเยื่อบาง ๆ ที่บุอยู่ด้านในสุดของดวงตา ทำหน้าที่เหมือนผืนผ้าใบที่รองรับข้อมูลจากโลกภายนอก เมื่อแสงผ่านเข้ามาทาง กระจกตา และ เลนส์ตา ก็จะตกกระทบลงบนจอตา ซึ่งมี เซลล์รับแสง อยู่สองชนิดคือ เซลล์แท่ง (Rods) และ เซลล์โคน (Cones) โดยเซลล์แท่งมีบทบาทในการมองเห็นในที่มืด ส่วนเซลล์โคนรับผิดชอบต่อการมองเห็นสีและรายละเอียดในสภาวะแสงสว่าง ยิ่งไปกว่านั้น จอตายังทำงานร่วมกับส่วนประกอบอื่นในลูกตา เช่น วุ้นตา macula และเลนส์ตา เพื่อให้ภาพที่รับรู้มีความคมชัดและมีความลึก อย่างไรก็ตาม หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับจอตา เช่น การหลุดลอกของจอตา หรือ โรคจอตา ที่พบบ่อยอย่าง จอตาเสื่อม หรือ เบาหวานขึ้นจอตา ก็อาจทำให้การมองเห็นบกพร่องอย่างรวดเร็ว บางรายถึงขั้น สูญเสียการมองเห็น อย่างถาวร เนื่องจาก โรคที่เกี่ยวข้องกับจอตา ส่วนใหญ่เกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป และไม่แสดงอาการในระยะแรก การตรวจจอตาเป็นประจำจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับโครงสร้างของจอตา กลไกการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น ตลอดจนความผิดปกติที่พบบ่อย และแนวทางในการตรวจวินิจฉัยและ การรักษาโรคจอตา ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจร่างกายของตนเองมากขึ้น macula แต่ยังช่วยให้สามารถป้องกันการเสื่อมของดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณต้องการรักษาการมองเห็นให้อยู่กับคุณไปตลอดชีวิต การใส่ใจต่อ “จอตา” ตั้งแต่วันนี้ คือจุดเริ่มต้นที่ไม่ควรมองข้าม

ความสำคัญของการตรวจจอตาอย่างสม่ำเสมอ
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการสูญเสียการมองเห็น คือ การตรวจจอตาเป็นประจำ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป การตรวจจอตาจะช่วยให้แพทย์สามารถค้นพบ ความผิดปกติของจอตา ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งมักจะยังไม่มีอาการใด ๆ ปรากฏออกมา
ตัวอย่างโรคที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่:
- จอตาหลุดลอก (Retinal Detachment): อาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน
- ภาวะจอตาเสื่อม (Age-related Macular Degeneration – AMD)
- เบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Retinopathy)
- เส้นเลือดในจอตาผิดปกติ (Retinal Vascular Abnormalities)
การตรวจจอตายังช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคในระบบอื่นได้ด้วย เช่น เบาหวาน ความดัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากจอตาเป็นส่วนที่เปิดให้เห็นเส้นเลือดในร่างกายได้อย่างชัดเจนที่สุด
ทำไมจอตาจึงเป็นพื้นที่ที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ?
หากเปรียบจอตาเป็นผืนผ้าใบ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยบนผืนผ้านั้น อาจทำให้ภาพทั้งหมดเบี้ยว บิดเบือน หรือไม่สมบูรณ์ ซึ่งในทางการแพทย์ก็ไม่ต่างกัน หากเกิดความเสียหายกับจอตา เช่น การฉีกขาดหรือเสื่อมสภาพ แม้จะรักษาได้บางกรณี แต่ก็ไม่สามารถคืนสภาพให้สมบูรณ์ 100% ได้เสมอไป
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ป่วยจำนวนมากมักจะไม่รู้ตัวว่าจอตากำลังมีปัญหา เพราะความผิดปกติมักเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า การสังเกตอาการเบื้องต้น เช่น เห็นจุดดำลอยไปมา (floaters) มองเห็นแสงวาบ หรือภาพบิดเบี้ยว ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
คำรองที่เกี่ยวข้องกับจอตา: ความเชื่อมโยงที่คุณควรรู้
ในการเข้าใจเรื่องของจอตาได้อย่างลึกซึ้ง ควรทำความรู้จักกับคำศัพท์และภาวะที่เกี่ยวข้อง เช่น:
- โรคจอตาเสื่อม (Macular Degeneration): พบมากในผู้สูงวัย
- จอตาหลุดลอก: ภาวะฉุกเฉินที่อาจทำให้ตาบอดถาวร
- เบาหวานขึ้นจอตา: ความเสี่ยงสูงในผู้ป่วยเบาหวาน
- ผ่าตัดจอตา: การรักษาโดยใช้เลเซอร์หรือผ่าตัดวุ้นตา
- การตรวจจอตาด้วยเลเซอร์ OCT: เทคโนโลยีตรวจภาพจอตาแบบไม่เจ็บ
คำเหล่านี้จะถูกอธิบายอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป เพื่อเสริมความเข้าใจให้ครอบคลุมมากขึ้น
บทบาทของจอตาในชีวิตประจำวัน
หากคุณเคยประสบกับอาการตามัว มองเห็นภาพเบลอ หรือมีจุดดำบังสายตา สิ่งเหล่านี้อาจสะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในจอตาได้ทั้งสิ้น จอตาเกี่ยวข้องกับทุกช่วงเวลาในชีวิต ทั้งการเรียน การทำงาน และกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา หากละเลย อาจนำไปสู่การสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้
CTA: ตรวจสุขภาพตา…ก่อนสายเกินไป
👁️ หากคุณยังไม่เคยตรวจจอตาเลย หรือมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับสายตา
อย่ารอช้า!
คลิก ที่นี่ เพื่อจองการตรวจสุขภาพตาที่โรงพยาบาลปิยะเวทกับจักษุแพทย์เฉพาะทางวันนี้
เพราะดวงตาของคุณไม่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้เหมือนอุปกรณ์อื่นในร่างกาย
สรุปบทนำ
จอตา คือโครงสร้างที่สำคัญต่อการมองเห็นอย่างแท้จริง การให้ความสำคัญกับสุขภาพจอตา ไม่เพียงแค่ช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นเท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันโรคที่อาจคุกคามสุขภาพโดยรวมของเราอีกด้วย
อย่าละเลยสัญญาณเล็ก ๆ ที่สายตาส่งมา เพราะในหลายกรณี การตรวจพบความผิดปกติของจอตาแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการรักษาให้กลับมามองเห็นอย่างปกติได้อีกครั้ง
ทำไมต้องตรวจจอตาแม้ไม่มีอาการผิดปกติ?
หลายคนอาจสงสัยว่า หากยังมองเห็นปกติจะต้องตรวจจอตาทำไม? คำตอบคือ โรคจอตาส่วนใหญ่มักไม่มีอาการในระยะแรก โดยเฉพาะโรคจอตาเสื่อมหรือเบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งจะค่อย ๆ ทำลายการมองเห็นอย่างช้า ๆ โดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว ดังนั้น การตรวจจอตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้งจึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกัน
นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว:
- เห็นแสงวาบเป็นช่วง ๆ
- เห็นเงาดำลอยไปมา
- มองเห็นภาพบิดเบี้ยว
- สูญเสียการมองเห็นบางส่วนโดยกะทันหัน
การผ่าตัดจอตา: ความก้าวหน้าของการรักษาในยุคปัจจุบัน
เมื่อเกิดความผิดปกติในจอตา บางกรณีสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา หรือเลเซอร์ แต่อีกหลายกรณีจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีการผ่าตัดที่ซับซ้อน เช่น:
- การผ่าตัดวุ้นตา (Vitrectomy)
- การเลเซอร์จอตา
- การฉีดยาเข้าลูกตา
เทคโนโลยีในปัจจุบันช่วยให้การผ่าตัดจอตาแม่นยำ ปลอดภัย และฟื้นฟูการมองเห็นได้ดีขึ้น โดยเฉพาะหากตรวจพบเร็ว
ในโลกที่ภาพและข้อมูลมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานและการดำเนินชีวิต การมีสุขภาพจอตาที่ดีคือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากจอตาเสื่อมลง ก็เหมือนกับชีวิตที่ต้องใช้ชีวิตในความมืด ความสามารถในการประกอบอาชีพ การดูแลตนเอง หรือแม้แต่ความสุขจากการมองเห็นหน้าคนที่รัก ก็อาจหายไปในพริบตา
🔔 Call to Action (CTA): ดวงตาของคุณมีค่าเกินกว่าจะเสี่ยง
หากคุณยังไม่เคยเข้ารับการ ตรวจจอตา หรือไม่แน่ใจว่าคุณมีความเสี่ยงหรือไม่
👉 จองคิวตรวจจอตาออนไลน์วันนี้ กับจักษุแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลปิยะเวท
🔗 คลิกที่นี่เพื่อนัดหมาย
เพราะ “การป้องกันดีกว่าการรักษา” โดยเฉพาะกับสิ่งที่เรียกว่า การมองเห็น
สรุปบทนำ: จอตาอวัยวะที่เล็ก แต่ผลกระทบใหญ่
บทนำนี้ได้พาคุณทำความรู้จักกับ “จอตา” ในมิติที่หลากหลาย ตั้งแต่โครงสร้าง หน้าที่ ความสำคัญ ไปจนถึงโรคที่เกี่ยวข้องและการดูแลป้องกันอย่างรอบด้าน หวังว่าเนื้อหานี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการใส่ใจในสุขภาพดวงตาของคุณอย่างจริงจัง
จอตาคืออะไร? (โครงสร้างและหน้าที่ของจอตา)
จอตา: หัวใจของระบบการมองเห็น
จอตา หรือ “Retina” เป็นชั้นเนื้อเยื่อบาง ๆ ที่บุอยู่ด้านในสุดของผนังลูกตา ทำหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งในการรับรู้แสงและภาพก่อนที่สมองจะประมวลผลเป็นภาพที่เรามองเห็น การทำงานของจอตาจึงถือเป็นขั้นตอนแรกในกระบวนการมองเห็นทั้งหมด และหากเกิดความเสียหายต่อจอตาไม่ว่าจะจากอุบัติเหตุหรือโรคตา การมองเห็นก็จะบกพร่องทันที
จอตามีลักษณะเป็นเยื่อบาง ๆ ใส แปะอยู่ด้านในของลูกตาส่วนหลัง บริเวณที่แสงที่ผ่านเลนส์ตาจะโฟกัสพอดี ซึ่งก็คือจุดรับภาพที่คมชัดที่สุดเรียกว่า จุดรับภาพตรงกลาง (Macula) และตรงกลางของ macula เรียกว่า Fovea ซึ่งมีหน้าที่ในการมองเห็นรายละเอียดสูงสุด เช่น การอ่านหนังสือ หรือจ้องมองวัตถุขนาดเล็ก
โครงสร้างของจอตา: ระบบเซลล์ประสาทอันซับซ้อน
ภายในจอตาประกอบไปด้วยเซลล์เฉพาะจำนวนมากที่ทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง ได้แก่:
- เซลล์รับแสง (Photoreceptors)
- เซลล์แท่ง (Rods): ไวต่อแสงสลัว ใช้ในการมองเห็นเวลากลางคืน
- เซลล์โคน (Cones): ตรวจจับสี และให้รายละเอียดภาพในแสงจ้า
โรคจอตาเสื่อม มักมีผลต่อเซลล์โคนที่บริเวณ Macula โดยตรง
- เซลล์ประสาทสองชั้น
- เซลล์แกงเกลียน (Ganglion Cells): รวมสัญญาณประสาทและส่งผ่าน เส้นประสาทตา (Optic Nerve) ไปยังสมอง
- เส้นเลือดในจอตา: ทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนและสารอาหาร การตรวจ เส้นเลือดในจอตาผิดปกติ สามารถบ่งชี้ถึงโรคระบบ เช่น เบาหวาน ความดันสูง หรือโรคหลอดเลือด
หน้าที่ของจอตา: แปลงแสงเป็นภาพ
จอตาทำหน้าที่ รับแสงจากภายนอก แล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อส่งต่อให้สมองผ่าน เส้นประสาทตา ขั้นตอนนี้เกิดขึ้นภายในไม่ถึงเสี้ยววินาที และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่คุณลืมตา
“เส้นประสาทตา”
1. 🧠 ย่อหน้าแรก (บทนำ)
จอตาทำหน้าที่รับแสงและแปลงเป็นสัญญาณประสาทส่งผ่านไปยัง เส้นประสาทตา เพื่อให้สมองแปลผลเป็นภาพ
2. 🔍 หัวข้อย่อย
สร้างหัวข้อย่อยที่เจาะจง เช่น:
- บทบาทของเส้นประสาทตาในการมองเห็น
- เส้นประสาทตากับจอตา: การเชื่อมต่อที่สำคัญ
- โรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทตา
3. 📖 เนื้อหาประกอบหัวข้อ:
- การแปลงแสงเป็นสัญญาณไฟฟ้าผ่านเซลล์รับแสงไปยัง เส้นประสาทตา
- เมื่อ เส้นประสาทตาเสื่อม หรือถูกทำลาย การมองเห็นอาจสูญเสียอย่างถาวร
- สัญญาณจากจอตาถูกส่งไปยังสมองผ่านทาง เส้นประสาทตา ซึ่งถือเป็นเส้นทางหลักในการรับรู้ภาพ
4. 🧪 การแพทย์และการตรวจวินิจฉัย:
ใช้ในบริบทของการตรวจสุขภาพตา เช่น:
- การตรวจสภาพ เส้นประสาทตา สามารถทำได้โดยจักษุแพทย์ผ่านเครื่อง OCT หรือ Fundus Camera
- การบวมของ เส้นประสาทตา (Papilledema) อาจเป็นสัญญาณของโรคระบบประสาทหรือความดันในสมองที่สูง
5. ⚠️ โรคที่เกี่ยวข้อง:
- เส้นประสาทตาเสื่อม (Optic Neuropathy)
- เส้นประสาทตาอักเสบ (Optic Neuritis)
- การบาดเจ็บของเส้นประสาทตาจากอุบัติเหตุ
- เบาหวานขึ้นจอตาอาจลามถึง เส้นประสาทตา
หากจอตาได้รับความเสียหายจากโรคหรือภาวะผิดปกติ การรับแสงและการแปลงภาพจะบกพร่อง ทำให้เกิดอาการ การมองเห็นพร่ามัว, ภาพเบลอ, หรือ มองไม่เห็นภาพบางส่วน ซึ่งในบางกรณีอาจเกิดขึ้นเฉียบพลัน เช่นในกรณี จอตาหลุดลอก
โซนต่าง ๆ ในจอตาและบทบาทเฉพาะ
- Macula (จุดรับภาพตรงกลาง): ให้การมองเห็นชัดเจนในกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาจ้องจุดใดจุดหนึ่ง เช่น อ่านหนังสือ ขับรถ หรือใช้โทรศัพท์
- Fovea: เป็นศูนย์กลางของ Macula และเป็นบริเวณที่มองเห็นชัดที่สุด
- Periphery (รอบนอกของจอตา): ให้การมองเห็นรอบข้าง (Peripheral Vision)
ความเสียหายที่เกิดกับโซนต่าง ๆ ของจอตาจะส่งผลต่อพฤติกรรมการมองเห็นต่างกัน เช่น ถ้า Macula เสื่อม ผู้ป่วยจะยังมองเห็นด้านข้างได้ แต่ไม่สามารถโฟกัสตรงกลางได้ ในขณะที่ถ้า รอบนอกจอตาหลุดลอก ผู้ป่วยอาจเริ่มจากการมองไม่เห็นบริเวณรอบนอก แล้วลุกลามเข้าไปสู่ศูนย์กลาง
ปัจจัยที่กระทบต่อการทำงานของจอตา
แม้จอตาจะมีความสามารถสูง แต่ก็ไวต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของจอตา ได้แก่:
- อายุที่มากขึ้น: เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของ ภาวะจอตาเสื่อมตามวัย
- โรคเรื้อรัง: เช่น เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง
- พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติโรคจอตาในครอบครัวควรตรวจจอตาเป็นประจำ
- แสง UV และแสงสีฟ้า: ส่งผลให้จอตาเสื่อมเร็วขึ้น
- การสูบบุหรี่และพฤติกรรมเสี่ยง: ทำให้หลอดเลือดจอตาเสื่อม
เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างและหน้าที่ของจอตาอย่างชัดเจนแล้ว เราจะเริ่มเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเสื่อมของจอตากับโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในหัวข้อต่อไป เราจะลงลึกถึง โรคจอตาแต่ละชนิด ที่พบบ่อยในกลุ่มคนไทย เช่น จอตาหลุดลอก, จอตาเสื่อม, เส้นเลือดในจอตาผิดปกติ และอีกมากมาย พร้อมแนะนำแนวทางการวินิจฉัยและรักษาที่คุณควรรู้
โรคที่เกี่ยวกับจอตา (ชนิดต่าง ๆ ที่ควรระวัง)
โรคจอตา: ศัตรูเงียบของการมองเห็น
แม้ว่าจอตาจะเป็นเพียงชั้นบาง ๆ ที่บุอยู่ด้านในลูกตา แต่หากเกิดโรคหรือภาวะผิดปกติเพียงเล็กน้อยกับจอตา ก็อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ โรคจอตา แต่ละชนิดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าโรคเหล่านี้หลายชนิด ไม่มีอาการในระยะแรกเริ่ม หากละเลยหรือวินิจฉัยช้า อาจสายเกินแก้
1. ภาวะจอตาเสื่อมตามอายุ (Age-related Macular Degeneration – AMD)
ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อ เซลล์บริเวณจุดรับภาพตรงกลาง (Macula) เสื่อมสภาพลงตามอายุ ทำให้สูญเสียการมองเห็นบริเวณศูนย์กลาง ภาพที่เคยเห็นชัด กลับบิดเบี้ยว มัว หรือหายไปบางส่วน
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด:
- AMD แบบแห้ง (Dry AMD): พบมากกว่า 80% ของผู้ป่วย เกิดจากการสะสมของสารพิษใต้จอตา
- AMD แบบเปียก (Wet AMD): เกิดจากเส้นเลือดผิดปกติรั่วเลือดหรือของเหลว ทำให้จอตาบวมและเสื่อมอย่างรวดเร็ว
คำรอง: ภาวะจอตาเสื่อม, Macula เสื่อม, มองไม่ชัดตรงกลาง, โรคตาในผู้สูงอายุ
2. จอตาหลุดลอก (Retinal Detachment)
จอตาหลุดลอก คือภาวะที่จอตาแยกตัวออกจากผนังลูกตา ซึ่งอาจเกิดจากการฉีกขาดของจอตา, การมีน้ำวุ้นตาหดตัว, หรือผลจากอุบัติเหตุ หากไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว อาจสูญเสียการมองเห็นถาวร
อาการเตือนภัย:
- เห็นแสงวาบในตา
- มีเงาดำคล้ายม่านบัง
- มองเห็นเงาเคลื่อนไหว
คำรอง: จอตาฉีกขาด, จอตาลอก, การผ่าตัดจอตา, การวินิจฉัยจอตาหลุดลอก
3. เบาหวานขึ้นจอตา (Diabetic Retinopathy)
ภาวะแทรกซ้อนจาก โรคเบาหวาน ที่ส่งผลต่อเส้นเลือดในจอตา เส้นเลือดอาจบวม รั่ว หรือแตก ทำให้การมองเห็นพร่ามัว เห็นจุดดำ หรือในรายที่รุนแรงอาจทำให้ตาบอด
แบ่งเป็น:
- Non-proliferative: ระยะเริ่มต้น มีจุดเลือดออกเล็ก ๆ
- Proliferative: เส้นเลือดผิดปกติงอกใหม่ เสี่ยงเลือดออกในวุ้นตา
คำรอง: โรคตาเบาหวาน, เส้นเลือดในจอตาผิดปกติ, ภาวะเลือดออกในตา, ต้อกระจกร่วมกับเบาหวาน
4. โรคหลอดเลือดจอตา (Retinal Vascular Occlusion)
เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดในจอตา คล้ายภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน แต่เกิดในดวงตา ทำให้ขาดเลือดเฉียบพลัน มีผลต่อการมองเห็นทันที
ชนิดที่พบได้:
- Central Retinal Vein Occlusion (CRVO): เส้นเลือดใหญ่ที่จอตาอุดตัน
- Branch Retinal Vein Occlusion (BRVO): เส้นเลือดแขนงถูกปิดกั้น
คำรอง: เส้นเลือดจอตาอุดตัน, หลอดเลือดตาอุดตัน, มองไม่เห็นเฉียบพลัน
5. โรคจอตาในเด็กและทารก (Retinopathy of Prematurity – ROP)
พบในทารกคลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะเด็กที่ได้รับออกซิเจนเข้มข้นนานเกินไป ทำให้เส้นเลือดในจอตาพัฒนาอย่างผิดปกติ อาจนำไปสู่การตาบอดหากไม่รักษาทันเวลา
คำรอง: โรคจอตาในทารก, ภาวะตาบอดในเด็กแรกเกิด, ROP
6. เยื่อหุ้มจอตาหนาหรือพังผืดที่จอตา (Epiretinal Membrane)
เป็นภาวะที่มีพังผืดหรือเยื่อบาง ๆ เกาะที่ผิวจอตา ทำให้จอตาย่น บิดเบี้ยว ส่งผลให้ภาพที่เห็นผิดรูปร่าง เช่น หน้าคนดูบิดเบี้ยว ตัวหนังสือเบี้ยว
คำรอง: พังผืดจอตา, ภาพบิดเบี้ยว, ผ่าตัดวุ้นตา
7. รูรั่วกลางจอตา (Macular Hole)
เกิดจากแรงดึงของวุ้นตาที่แยกตัวออกจากจอตา ทำให้เกิดรูเล็ก ๆ บริเวณจุดรับภาพ ส่งผลต่อการมองเห็นตรงกลางโดยเฉพาะ
อาการ: ตามัวเฉพาะจุดตรงกลางของภาพ มองเห็นเป็นวงดำ
คำรอง: รูกลางจอตา, การมองเห็นหายไปบางจุด, จอตาตรงกลางฉีกขาด
8. การอักเสบของจอตา (Retinitis)
อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา เช่น ไวรัสงูสวัด, CMV, และ Toxoplasmosis มักพบในผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
คำรอง: จอตาอักเสบ, ไวรัสจอตา, การติดเชื้อในตา, เชื้อราในลูกตา
เมื่อเข้าใจชนิดของโรคจอตาแล้ว สิ่งสำคัญถัดไปคือการเรียนรู้ว่า อาการเตือนภัยของโรคจอตา มีลักษณะอย่างไร เพื่อที่คุณจะสามารถสังเกตและวินิจฉัยได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
สัญญาณเตือนของโรคจอตา (อาการที่ไม่ควรมองข้าม)
จอตาเสีย = การมองเห็นเปลี่ยน…แม้ไม่มีอาการเจ็บ
เมื่อพูดถึงโรคที่เกี่ยวกับ “จอตา” คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า หากไม่มีอาการเจ็บก็ไม่น่าเป็นโรคจอตาได้ แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง โรคจอตาจำนวนมากเริ่มต้นโดยไม่มีอาการเจ็บปวดหรือผิดปกติใด ๆ ทำให้ผู้ป่วยหลายคนมารับการรักษาช้าเกินไป และนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นแบบถาวร
การรู้จัก สัญญาณเตือนของจอตาผิดปกติ จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะยิ่งตรวจพบเร็ว โอกาสในการรักษาและฟื้นฟูการมองเห็นก็ยิ่งมีมากขึ้น

อาการเตือนเบื้องต้นของโรคจอตา
1. มองเห็นจุดดำลอยไปมา (Floaters)
เป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีสายตาสั้นมาก จุดดำเหล่านี้อาจลอยไปมาเมื่อกลอกตา มักไม่มีอันตรายหากเป็นเล็กน้อย แต่หากมีจำนวนมากขึ้น หรือเห็นร่วมกับแสงวาบ อาจเป็นสัญญาณของ จอตาหลุดลอก ได้
คำรอง: การมองเห็นพร่ามัว, จุดดำในสายตา, วุ้นตาเสื่อม
2. เห็นแสงวาบในดวงตา (Flashes)
คล้ายกับแสงฟ้าแลบที่เกิดขึ้นขณะกลอกตา หรือในที่มืด เป็นผลจากการดึงรั้งระหว่างวุ้นตากับจอตา ซึ่งอาจบ่งชี้ถึง การฉีกขาดของจอตา ที่นำไปสู่การหลุดลอกได้ในไม่ช้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะสายตาสั้นรุนแรง
3. การมองเห็นเบี้ยว บิดเบี้ยว หรือผิดรูป (Metamorphopsia)
เช่น มองเห็นเส้นตรงกลายเป็นเส้นโค้ง หรือภาพใบหน้าบิดเบี้ยว
อาการนี้มักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติบริเวณ Macula โดยเฉพาะในโรค จอตาเสื่อม, พังผืดที่จอตา หรือ รูรั่วกลางจอตา
คำรอง: มองเห็นผิดรูป, จอตาเสื่อม, การบิดเบี้ยวของภาพ
4. การมองเห็นพร่ามัวแบบกะทันหัน
การมองเห็นที่เคยชัดเจน กลับพร่ามัวลงเฉียบพลันในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหรือวัน มักเกิดจาก:
- เส้นเลือดจอตาอุดตัน
- จอตาหลุดลอก
- เลือดออกในวุ้นตา
คำรอง: สูญเสียการมองเห็นเฉียบพลัน, ภาวะเลือดออกในตา, เส้นเลือดในจอตาผิดปกติ
5. เห็นเงาดำเหมือนม่านบังบางส่วนของการมองเห็น
เปรียบเหมือนมีเงามืด หรือม่านมาปิดส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพ ซึ่งมักเป็นอาการของ จอตาหลุดลอก ระยะรุนแรง และควรเข้ารับการรักษาทันที
คำรอง: เงาดำในสายตา, ม่านบังสายตา, จอตาฉีกขาด
6. เห็นแสงแฟลชตอนกลางคืน
เกิดขึ้นโดยไม่มีแหล่งกำเนิดแสงจริง เป็นสัญญาณของการระคายเคืองหรือดึงรั้งที่ วุ้นตา ต่อ จอตา อาจพบในผู้ที่กำลังเริ่มมีวุ้นตาเสื่อมหรือเริ่มฉีกขาด
อาการเรื้อรังที่ควรจับตา
แม้ว่าอาการเฉียบพลันจะเป็นอันตรายที่สุด แต่อาการเรื้อรังก็ไม่ควรมองข้าม ได้แก่:
- อ่านหนังสือไม่ชัดแม้ใส่แว่น
- มองเห็นเงาดำคลุมตรงกลางตลอดเวลา
- มองสีผิดเพี้ยน
- เห็นภาพซ้อน (Double vision)
- เห็นภาพบางด้านหายไป
เมื่อใดควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที?
หากมีอาการใด ๆ ดังต่อไปนี้ ควรพบแพทย์ภายใน 24–48 ชั่วโมง:
- สูญเสียการมองเห็นเฉียบพลัน
- มองไม่เห็นตรงกลาง
- เห็นจุดดำ/เงาดำมากขึ้นเรื่อย ๆ
- เห็นแสงวาบถี่ขึ้น
- ปวดตาร่วมกับการมองเห็นผิดปกติ
เทคนิคเบื้องต้นในการตรวจสอบตนเอง: Amsler Grid
Amsler Grid คือแบบทดสอบง่าย ๆ ที่ใช้ตรวจพบ การมองเห็นผิดปกติจากจอตาเสื่อม โดยให้ผู้ทดสอบจ้องจุดศูนย์กลางของตาราง ถ้ามองเห็นเส้นเบี้ยวหรือหายไป แสดงว่ามีความผิดปกติที่ Macula ควรปรึกษาจักษุแพทย์ทันที
เมื่อคุณทราบอาการเตือนของโรคจอตาแล้ว คำถามต่อไปคือ: อะไรคือปัจจัยเสี่ยงหรือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคจอตาเหล่านี้? หัวข้อถัดไปจะพาไปรู้จัก “สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคจอตา” ที่อาจซ่อนอยู่ในพฤติกรรมหรือสุขภาพทั่วไปของคุณ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคจอตา
เมื่อจอตาเสื่อม…สาเหตุอาจไม่ใช่แค่เรื่องของโชคชะตา
แม้โรคจอตาจะเกิดขึ้นได้ในคนทุกวัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีปัจจัยหลายอย่างที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคจอตา ทั้งที่ควบคุมได้และไม่ได้ การรู้เท่าทัน สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคจอตา จึงเป็นแนวทางแรกของการ “ป้องกันก่อนรักษา”
สาเหตุหลักที่ทำให้จอตาเสื่อม หรือผิดปกติ
1. อายุที่เพิ่มขึ้น
อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะหลังอายุ 50 ปีขึ้นไป เซลล์ในจอตา โดยเฉพาะในบริเวณ Macula จะเริ่มเสื่อมตามธรรมชาติ
ภาวะจอตาเสื่อมตามวัย (Age-related Macular Degeneration) จึงพบบ่อยในผู้สูงอายุ
คำรอง: โรคตาผู้สูงอายุ, ภาวะจอตาเสื่อม, จอตาเสื่อมกลาง
2. โรคเบาหวาน
น้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรังทำให้เส้นเลือดฝอยในจอตาเสื่อม เกิดการรั่ว บวม หรือเลือดออก ทำให้เกิด เบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการตาบอดในวัยทำงาน
คำรอง: โรคตาเบาหวาน, จอตาอักเสบจากเบาหวาน, เส้นเลือดในจอตาเสียหาย
3. ความดันโลหิตสูง
ความดันสูงเป็นตัวการทำลาย หลอดเลือดจอตา เช่นเดียวกับเส้นเลือดสมอง ผู้ป่วยอาจพบกับการอุดตันของหลอดเลือด หรือเลือดออกภายในจอตา
คำรอง: โรคหลอดเลือดจอตา, ความดันสูงขึ้นจอตา, ภาวะเลือดออกในตา
4. สายตาสั้นมาก (High Myopia)
ผู้ที่มีสายตาสั้นมากกว่า -6.00D มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด จอตาฉีกขาดหรือหลุดลอก เพราะลูกตามีรูปร่างยาวกว่าปกติ ทำให้จอตาบางลงและเปราะบางต่อแรงดึงจากวุ้นตา
คำรอง: จอตาฉีกขาด, สายตาสั้นรุนแรง, ภาวะจอตาลอก
5. การเปลี่ยนแปลงของวุ้นตา (Posterior Vitreous Detachment – PVD)
วุ้นตาคือของเหลวเจลใสที่เติมเต็มภายในลูกตา เมื่ออายุมากขึ้น วุ้นตาจะหดตัวและแยกออกจากจอตา เกิดแรงดึงที่ทำให้จอตา ฉีกขาดหรือมีรูรั่ว
คำรอง: วุ้นตาเสื่อม, วุ้นตาดึงจอตา, วุ้นตาแยกตัว
6. การบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุกระทบลูกตา
แรงกระแทกที่ศีรษะหรือดวงตาอาจทำให้ จอตาฉีกขาดทันที โดยเฉพาะในนักกีฬา ผู้ที่ทำงานหนัก หรือเกิดอุบัติเหตุ
7. พันธุกรรมและประวัติครอบครัว
หากมีสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคจอตาเสื่อม หรือ จอตาหลุดลอก ความเสี่ยงของคุณจะสูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
8. การสูบบุหรี่
งานวิจัยจำนวนมากชี้ว่า การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยกระตุ้นการเสื่อมของจอตาโดยตรง โดยเฉพาะบริเวณ Macula เนื่องจากสารพิษในบุหรี่ทำลายหลอดเลือดและเร่งการสะสมของของเสียในจอตา
9. แสง UV และแสงสีฟ้า
การจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน หรือสัมผัสแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน อาจทำลายจอตาโดยเฉพาะ Macula
คำรอง: แสงสีฟ้า, แสงอันตรายต่อจอตา, ความเสื่อมจากแสง, หน้าจอคอมพิวเตอร์
10. ภาวะขาดสารอาหาร
โดยเฉพาะ วิตามินเอ, ลูทีน, ซีแซนทีน ที่จำเป็นต่อเซลล์รับแสงในจอตา การขาดสารเหล่านี้อาจนำไปสู่การเสื่อมของจอตา
ปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
- การไม่ใส่แว่นกันแดด
- ขาดการตรวจตาเป็นประจำ
- ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- เครียดเรื้อรัง ส่งผลต่อหลอดเลือด
- ไม่ควบคุมโรคประจำตัว
การรู้ทันปัจจัยเสี่ยงคือจุดเริ่มต้นของการป้องกัน
แม้คุณจะยังไม่มีอาการใด ๆ แต่หากมีหนึ่งในปัจจัยเหล่านี้ ควรเข้ารับการ ตรวจจอตา กับจักษุแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยแต่เนิ่น ๆ เพราะโรคจอตาบางชนิด หากตรวจพบในระยะแรกเริ่มสามารถรักษาได้ และรักษาการมองเห็นไว้ได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคจอตาแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการรู้ว่า แพทย์ตรวจวินิจฉัยโรคจอตาอย่างไร? หัวข้อต่อไปจะพาคุณไปสำรวจเครื่องมือ เทคนิค และการตรวจที่ใช้ในการประเมินสุขภาพของจอตาอย่างแม่นยำ
วิธีการวินิจฉัยและการตรวจจอตา
การตรวจจอตา: ด่านแรกของการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
ในการวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับ “จอตา” ความละเอียดและแม่นยำในการตรวจถือเป็นหัวใจสำคัญ เนื่องจากโรคจอตาหลายชนิดอาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก การตรวจจอตาจึงไม่ใช่แค่การส่องดูด้วยกล้องธรรมดาเท่านั้น แต่ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและความชำนาญของจักษุแพทย์เฉพาะทาง
เครื่องมือและเทคนิคหลักที่ใช้ในการตรวจจอตา
1. การตรวจตาด้วยกล้องตรวจตาส่องลึก (Fundoscopy หรือ Ophthalmoscopy)
เป็นวิธีการเบื้องต้นที่แพทย์ใช้ กล้องส่องตรวจจอตา ผ่านรูม่านตาหลังจากหยอดยาขยายม่านตา ช่วยให้สามารถดูรายละเอียดของจอตา เส้นเลือด และ เส้นประสาทตา ได้ชัดเจน
คำรอง: การตรวจด้วยกล้องจอตา, ยาขยายม่านตา, ภาพจอตา
2. การตรวจด้วยเครื่อง OCT (Optical Coherence Tomography)
OCT คือเทคโนโลยีถ่ายภาพตัดขวางของจอตาด้วยแสงอินฟราเรด ความละเอียดสูงกว่าการเอ็กซเรย์ ช่วยให้แพทย์เห็นชั้นจอตาในระดับไมครอน เหมาะสำหรับการวินิจฉัย:
- ภาวะจอตาเสื่อม
- รูรั่วกลางจอตา
- พังผืดจอตา
- บวมน้ำในจอตา
คำรอง: ตรวจ OCT, ตรวจจอตาด้วยเลเซอร์, เครื่องวิเคราะห์ความหนาของจอตา
3. การฉีดสีดูเส้นเลือดจอตา (Fluorescein Angiography)
เป็นวิธีฉีดสารสีพิเศษเข้าเส้นเลือดแล้วถ่ายภาพจอตาต่อเนื่อง เพื่อตรวจสอบ:
- เส้นเลือดรั่ว
- เส้นเลือดผิดปกติ
- การอุดตัน
เหมาะสำหรับการวินิจฉัย เบาหวานขึ้นจอตา, AMD, และ เส้นเลือดจอตาอุดตัน
คำรอง: ฉีดสี fluorescein, ตรวจหลอดเลือดจอตา, ตรวจภาพจอตาด้วยสี
4. การถ่ายภาพ Fundus
ถ่ายภาพรวมของจอตาโดยไม่ต้องขยายม่านตา เพื่อเก็บเป็นประวัติเปรียบเทียบ และประเมินสุขภาพตาทั่วไป
คำรอง: ภาพถ่ายจอตา, ภาพ fundus, การเก็บภาพจอตาอัตโนมัติ
5. การทดสอบสายตากลางและรอบนอก (Visual Field Test)
ทดสอบการมองเห็นในแต่ละจุดโดยเฉพาะด้านรอบนอกของภาพ ใช้ตรวจโรคที่เกี่ยวข้องกับ:
- จุดบอด
- เส้นประสาทตา
- โรคต้อหินร่วมกับจอตา
6. การตรวจจอตาในเด็กทารก
ใช้เครื่อง RetCam หรือกล้องเฉพาะทางเพื่อตรวจหาความผิดปกติในทารกคลอดก่อนกำหนด เช่น โรค ROP ซึ่งต้องอาศัยความแม่นยำและประสบการณ์เฉพาะด้าน
ขั้นตอนของการตรวจจอตา
- ซักประวัติ: ประวัติการมองเห็น ปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน ความดัน การบาดเจ็บ
- ทดสอบการมองเห็นเบื้องต้น: เช่น Snellen Chart
- หยอดยาขยายม่านตา: เพื่อให้เห็นจอตาชัดเจนยิ่งขึ้น
- ตรวจด้วยเครื่องมือเฉพาะทาง: ตามอาการและโรคที่สงสัย
- วิเคราะห์และวางแผนรักษา: แพทย์จะอธิบายผลและแนะนำการรักษาต่อไป
ระยะเวลาที่ควรตรวจจอตา
- ผู้ไม่มีโรคประจำตัว: ปีละ 1 ครั้ง
- ผู้ป่วยเบาหวาน/ความดัน: ทุก 6–12 เดือน
- ผู้มีอาการผิดปกติ: ควรตรวจทันทีโดยไม่รอ
- ผู้สูงอายุ: ควรตรวจจอตาแม้ไม่มีอาการ
ประโยชน์ของการตรวจจอตาอย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจพบโรคตั้งแต่ยังไม่แสดงอาการ
- ป้องกันภาวะตาบอดถาวร
- ประเมินผลการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน
- วางแผนการรักษาเชิงรุกหากพบความผิดปกติ
เมื่อการตรวจจอตาช่วยวินิจฉัยโรคได้แล้ว คำถามต่อไปคือ มีวิธีรักษาโรคจอตาอย่างไร? ในหัวข้อถัดไป เราจะพาไปสำรวจการรักษาแต่ละแบบ ตั้งแต่การใช้ยา เลเซอร์ ไปจนถึงการผ่าตัดจอตาอย่างละเอียด
แนวทางการรักษาโรคจอตา
การรักษาโรคจอตา: ฟื้นฟูการมองเห็นให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
การรักษาโรคที่เกี่ยวกับ “จอตา” จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เนื่องจากจอตาเป็นโครงสร้างที่บอบบางและมีบทบาทสำคัญในการมองเห็น โดยวิธีการรักษาจะพิจารณาจากชนิดของโรคจอตา ระยะของโรค ความรุนแรง และสภาพสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
หลักการรักษาโรคจอตา
การรักษาจอตามีเป้าหมายสำคัญ 3 ประการ:
- หยุดความเสียหายของจอตา ไม่ให้ลุกลาม
- ฟื้นฟูการมองเห็นที่สูญเสียไปให้ได้มากที่สุด
- ป้องกันการเกิดซ้ำหรือการเสื่อมต่อเนื่อง
โดยวิธีรักษาจะแบ่งออกเป็นหลายแนวทาง ได้แก่ การใช้ยา เลเซอร์ และการผ่าตัด ทั้งนี้จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี
1. การใช้ยา
ยาหยอดตา
ใช้ในภาวะจอตาอักเสบ หรือมีอาการร่วมกับต้อหิน ช่วยลดการอักเสบหรือความดันในตา
ยารับประทาน
เช่น ยาต้านการอักเสบ หรือยาปฏิชีวนะ หากมีการติดเชื้อที่จอตาหรือเนื้อเยื่อลูกตา
ยาฉีดเข้าในลูกตา (Intravitreal Injection)
เป็นการฉีดยาเข้าในวุ้นตาโดยตรง โดยเฉพาะในโรคเหล่านี้:
- AMD แบบเปียก
- เบาหวานขึ้นจอตา
- เส้นเลือดจอตาอุดตัน
ยาที่ใช้เช่น Anti-VEGF (เช่น Ranibizumab, Aflibercept) ช่วยยับยั้งการสร้างเส้นเลือดผิดปกติ
คำรอง: ยาฉีดเข้าตา, ยา Anti-VEGF, การรักษา AMD, จอตาเสื่อม
2. การใช้เลเซอร์
การเลเซอร์จอตาถือเป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยยิงแสงเลเซอร์เพื่อปิดเส้นเลือดที่รั่ว หรือเชื่อมรอยฉีกของจอตา เช่น:
- Panretinal Photocoagulation (PRP): สำหรับเบาหวานขึ้นจอตาระยะรุนแรง
- Focal/Grid Laser: สำหรับบวมจอตาจากเส้นเลือดรั่ว
- Laser Retinopexy: ปิดรอยฉีกของจอตา ป้องกันการหลุดลอก
ข้อดีของการเลเซอร์:
- ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
- ใช้เวลาสั้น
- ความเสี่ยงน้อยกว่าผ่าตัด
คำรอง: เลเซอร์จอตา, รักษารอยฉีก, PRP, Focal Laser
3. การผ่าตัดจอตา
ใช้ในกรณีที่โรคมีความซับซ้อนหรือรุนแรง เช่น:
- จอตาหลุดลอก
- เลือดออกในวุ้นตา
- พังผืดจอตา
- รูรั่วกลางจอตา
วิธีการผ่าตัดหลัก:
- Vitrectomy: ผ่าตัดเอาวุ้นตาออก แล้วแทนที่ด้วยของเหลวหรือก๊าซ เพื่อให้จอตาแนบกับผนังตา
- Scleral Buckling: เย็บวัสดุรองตาจากภายนอก เพื่อช่วยกดจอตาให้แนบ
- Pneumatic Retinopexy: ฉีดก๊าซเข้าตาเพื่อดันจอตาให้แนบ แล้วตามด้วยเลเซอร์หรือความเย็น
ข้อควรระวังหลังผ่าตัด:
- ต้องนอนในท่าศีรษะเฉพาะ
- หลีกเลี่ยงการขึ้นเครื่องบินหากใช้ก๊าซในตา
- ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด
4. การฟื้นฟูหลังการรักษา
หลังการรักษาโรคจอตา ผู้ป่วยอาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูการมองเห็น และต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด เช่น:
- ไม่ออกกำลังกายหนัก
- หยอดยาตามแพทย์สั่ง
- ตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ
- ปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเสื่อมซ้ำ
นวัตกรรมใหม่ในการรักษาจอตา
- ยาฉีดรุ่นใหม่ที่อยู่ได้นานขึ้น
- เลเซอร์แบบ MicroPulse ที่ลดผลข้างเคียง
- การปลูกถ่ายเซลล์จอตา (Stem cell therapy)
- การใช้จอตาเทียม (Retinal implant) ในผู้ที่สูญเสียการมองเห็นถาวร
เลือกวิธีรักษาอย่างไร?
ขึ้นอยู่กับ:
- ชนิดของโรคจอตา
- ระยะของโรค
- อายุผู้ป่วย
- ประวัติสุขภาพตาเดิม
- การตอบสนองต่อการรักษาก่อนหน้า
การรักษาแต่ละรายจึงต้องใช้การประเมินอย่างละเอียดและออกแบบแนวทางเฉพาะบุคคล (Personalized treatment)
แม้คุณจะได้รับการรักษาโรคจอตาแล้ว แต่การดูแลรักษาหลังการรักษาและการป้องกันโรคจอตาไม่ให้กลับมาเกิดซ้ำก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง หัวข้อต่อไปจะพาคุณไปรู้จัก “การป้องกันและดูแลสุขภาพจอตา” อย่างถูกต้อง
การป้องกันและดูแลสุขภาพ จอตา
จอตาเสื่อม ป้องกันได้ หากใส่ใจตั้งแต่วันนี้
แม้หลายคนจะคิดว่าโรคเกี่ยวกับ “จอตา” เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความจริงคือโรคจอตาหลายชนิดสามารถป้องกัน หรือลดความรุนแรงได้หากดูแลอย่างถูกวิธี การป้องกันจอตาเสื่อมจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือการเริ่มต้นจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
หลักการดูแลจอตาเพื่อป้องกันโรค
1. ตรวจจอตาเป็นประจำ
การตรวจ จอตา อย่างสม่ำเสมอช่วยให้ค้นพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น
- ผู้ป่วยเบาหวาน
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคจอตา
คำรอง: ตรวจ จอตา, ตรวจสุขภาพตา, ป้องกัน จอตาเสื่อม, ตรวจพบ จอตาลอก
2. หลีกเลี่ยงการจ้องหน้าจอนานเกินไป
แสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท็บเล็ต มีส่วนทำลายเซลล์ใน จอตา โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้งานติดต่อกันหลายชั่วโมง ควรพักสายตา 20 วินาที ทุก 20 นาที และมองไปที่ไกล ๆ ประมาณ 20 ฟุต
คำรอง: แสงสีฟ้า, พักสายตา, ป้องกันจอตาอักเสบ, อาการเมื่อใช้จอนาน
3. สวมแว่นกันแดดที่มีคุณภาพ
แสง UV เป็นศัตรูของ จอตา เช่นเดียวกัน แว่นกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้จริงจะช่วยลดความเสี่ยงของการเสื่อมของ จอตา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เคล็ดลับ: ควรเลือกแว่นที่ระบุ UV400 และมีเลนส์ Polarized
4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่ส่งผลโดยตรงต่อหลอดเลือดในจอตา เพิ่มโอกาสเกิด AMD, จอตาเสื่อม, และ หลอดเลือดจอตาอุดตัน
5. รับประทานอาหารที่บำรุงจอตา
อาหารบางชนิดมีส่วนช่วยในการดูแลเซลล์รับแสง เช่น
- ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin): พบในผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม
- วิตามินเอ: พบในตับ ไข่แดง แครอท
- โอเมก้า-3: จากปลาแซลมอน ปลาทะเลน้ำลึก
การรับประทานอาหารเหล่านี้ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับ Macula ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของการมองเห็น
คำรอง: อาหารบำรุงตา, วิตามินสำหรับ จอตา, ลูทีน, ป้องกันภาวะ จอตาเสื่อม
6. ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี
โดยเฉพาะโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของ เบาหวานขึ้นจอตา และ หลอดเลือดจอตาเสียหาย หากควบคุมระดับน้ำตาลและความดันได้ดี ความเสี่ยงในการเกิดโรคจอตาจะลดลงอย่างมาก
7. หลีกเลี่ยงการกระแทกหรือแรงดึงที่ดวงตา
การขยี้ตาแรง ๆ การออกกำลังกายที่เสี่ยงต่อการกระแทก เช่น มวย ฟุตบอล หรืออุบัติเหตุจากอุปกรณ์เครื่องมือ อาจทำให้ จอตาฉีกขาด หรือ หลุดลอก ได้ ควรสวมแว่นนิรภัยหากทำกิจกรรมเสี่ยง
8. ไม่ละเลยสัญญาณผิดปกติ
หากคุณมีอาการใด ๆ เช่น มองเห็นจุดดำ เห็นแสงวาบ ภาพเบี้ยว หรือเงาดำบังสายตา ต้องรีบพบแพทย์ทันที อย่ารอให้สูญเสียการมองเห็นจึงค่อยเข้ารับการรักษา
เสริมพฤติกรรมดี ๆ เพื่อตาใสระยะยาว
- นอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ จอตา ได้ฟื้นฟู
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กระตุ้นการไหลเวียนเลือดไปยัง จอตา
- หลีกเลี่ยงมลภาวะและฝุ่นละออง
- ใช้แสงสว่างให้เหมาะสมขณะอ่านหนังสือหรือทำงาน
แม้เราจะดูแล จอตา ได้ดีแค่ไหน ก็ยังมีโอกาสเกิดความผิดปกติได้ คำถามสำคัญคือ “ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงควรเฝ้าระวังอย่างไร?” หัวข้อถัดไปเราจะพูดถึงกลุ่มคนที่ควรใส่ใจสุขภาพ จอตา เป็นพิเศษ เพื่อป้องกันปัญหาแต่เนิ่น ๆ
ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคจอตา (ใครบ้างที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษ)
ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุ—โรคจอตาสามารถเกิดได้กับทุกคน
เมื่อพูดถึง “โรคจอตา” คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว จอตา สามารถเสื่อม ฉีกขาด หรือมีความผิดปกติได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง โรคประจำตัว หรือพันธุกรรมที่เกี่ยวข้อง การระบุกลุ่มเสี่ยงจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ
กลุ่มเสี่ยงหลักที่ควรตรวจ จอตา อย่างสม่ำเสมอ
1. ผู้สูงอายุ (อายุ 50 ปีขึ้นไป)
เป็นกลุ่มที่พบ ภาวะจอตาเสื่อมตามวัย (AMD) ได้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่ รับแสงแดดบ่อย หรือขาดสารอาหารบำรุงดวงตา
คำรอง: จอตา เสื่อมในผู้สูงอายุ, การมองเห็นพร่ามัว, การตรวจตาวัยชรา
2. ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
เบาหวานทำลายเส้นเลือดฝอยในจอตา เกิดภาวะ เบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของตาบอดในวัยทำงาน
แนะนำให้ตรวจจอตาทุก 6–12 เดือน แม้ไม่มีอาการผิดปกติ
คำรอง: โรคจอตาเบาหวาน, จอตารั่ว, เส้นเลือดในตาแตก
3. ผู้มีสายตาสั้นมาก (Myopia ≥ -6.00D)
สายตาสั้นมากจะทำให้ลูกตายาวกว่าปกติ ส่งผลให้ จอตาบาง และ เปราะบางต่อการฉีกขาดหรือหลุดลอก
พบได้บ่อยในวัยเรียน วัยทำงาน และวัยรุ่นที่ใช้หน้าจอมาก
คำรอง: จอตาฉีกขาด, จอตาหลุดลอกในคนสายตาสั้น, สายตาสั้นรุนแรง
4. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคจอตา
พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในโรคจอตาหลายชนิด เช่น AMD, จอตาเสื่อมพันธุกรรม (Retinitis Pigmentosa) หากมีญาติสายตรงที่เคยเป็นโรคจอตา ควรเข้ารับการตรวจอย่างใกล้ชิด
5. ทารกคลอดก่อนกำหนด
โดยเฉพาะทารกน้ำหนักน้อย และได้รับออกซิเจนเข้มข้น อาจเกิด ROP (Retinopathy of Prematurity) ซึ่งต้องได้รับการตรวจจอตาในช่วงอายุแรกเกิดถึง 6 เดือน
คำรอง: จอตาในทารก, โรคตาทารกคลอดก่อนกำหนด, ภาวะตาบอดในทารก
6. ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
โรคความดันส่งผลโดยตรงต่อ หลอดเลือดในจอตา ทำให้เสี่ยง เลือดออก, อุดตัน, หรือ บวมน้ำในจอตา ได้ง่าย
7. ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
- สูบบุหรี่
- ดื่มแอลกอฮอล์มาก
- จ้องจอนานโดยไม่พัก
- ขยี้ตาบ่อยหรือรุนแรง
- ใช้สายตาหนักในที่มืด
8. ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุที่ศีรษะหรือดวงตา
แรงกระแทกสามารถทำให้เกิด จอตา ฉีกขาดฉับพลัน, เลือดออกในวุ้นตา หรือทำให้จอตาหลุดลอกภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังบาดเจ็บ
9. ผู้ใช้ยาสเตียรอยด์หรือยารักษามะเร็งบางชนิด
ยาบางประเภทส่งผลต่อระบบไหลเวียนในจอตา ทำให้เกิด บวม จอตา, เส้นเลือดรั่ว, หรือ จอตา อักเสบ ได้
ทำไมกลุ่มเสี่ยงควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด?
- โรคจอตามักเริ่มโดยไม่มีอาการ
- ความเสียหายที่เกิดขึ้นบางครั้งไม่สามารถย้อนกลับได้
- การรักษาได้ผลดีที่สุดเมื่อพบในระยะแรก
แนวทางที่แนะนำสำหรับกลุ่มเสี่ยง
กลุ่มเสี่ยง | ความถี่ในการตรวจจอตา |
ผู้สูงอายุ | ทุก 12 เดือน |
เบาหวาน/ความดัน | ทุก 6 เดือน |
สายตาสั้นรุนแรง | ทุก 12 เดือน |
เด็กแรกเกิดกลุ่มเสี่ยง | ตามนัดแพทย์เฉพาะทาง |
มีประวัติครอบครัว | ทุก 12 เดือน |
หลังอุบัติเหตุ | ภายใน 24–48 ชม. |
เมื่อทราบว่าใครบ้างที่ควรให้ความใส่ใจกับสุขภาพจอตา ขั้นตอนสำคัญถัดไปคือการ ตอบข้อสงสัยที่ผู้คนมักถามเกี่ยวกับจอตาและโรคที่เกี่ยวข้อง หัวข้อถัดไปจะรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบจากจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คุณตัดสินใจดูแลดวงตาได้ดียิ่งขึ้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับจอตา (FAQ)
ตอบทุกข้อสงสัยเรื่อง “จอตา” ที่หลายคนยังไม่รู้
แม้ว่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับโรค “จอตา” อยู่มากมาย แต่ในชีวิตจริง หลายคนยังมีข้อสงสัยหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับอาการ สาเหตุ วิธีตรวจ และการรักษา เพื่อให้บทความนี้สมบูรณ์และครอบคลุมทุกด้าน นี่คือชุดคำถามที่ผู้ป่วยและคนทั่วไปมักถามจักษุแพทย์ พร้อมคำตอบที่ถูกต้อง กระชับ และเข้าใจง่าย
Q1: จอตาคืออะไร?
A: จอตา (Retina) คือเนื้อเยื่อบาง ๆ ที่บุอยู่ภายในดวงตาด้านหลัง ทำหน้าที่รับแสงและแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังสมองเพื่อแปลเป็นภาพ หากจอตาผิดปกติหรือเสื่อม การมองเห็นจะผิดเพี้ยนหรืออาจถึงขั้นตาบอด
Q2: จอตาเสื่อมกับต้อกระจก ต่างกันอย่างไร?
A: จอตาเสื่อมคือความผิดปกติของเนื้อเยื่อภายในลูกตา ส่วนต้อกระจกคือการขุ่นของเลนส์ตา ซึ่งอยู่ด้านหน้า การผ่าตัดต้อกระจกสามารถฟื้นฟูการมองเห็นได้เกือบทั้งหมด แต่โรคจอตาอาจไม่สามารถรักษาให้กลับมาชัด 100% ได้หากลุกลาม
Q3: ถ้าไม่มีอาการ มองเห็นชัด ยังต้องตรวจจอตาหรือไม่?
A: ต้องตรวจ โดยเฉพาะหากอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น มีเบาหวาน สายตาสั้นมาก หรืออายุมากกว่า 50 ปี เพราะโรคจอตาหลายชนิดจะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ทำลายการมองเห็นไปอย่างช้า ๆ
Q4: การตรวจจอตาเจ็บหรือไม่?
A: ไม่เจ็บ อาจรู้สึกเคืองตาเล็กน้อยตอนหยอดยาขยายม่านตา และอาจมีภาพเบลอหรือแพ้แสงประมาณ 4–6 ชั่วโมงหลังตรวจ ควรพาเพื่อนไปด้วยหากต้องขับรถ
Q5: การฉีดยาเข้าตาอันตรายหรือไม่?
A: การฉีดยาเข้าวุ้นตา (Intravitreal Injection) มีความปลอดภัยหากทำโดยจักษุแพทย์ และเป็นการรักษาที่ได้ผลดีในโรค เบาหวานขึ้นจอตา หรือ จอตาเสื่อมแบบเปียก ภายหลังฉีดอาจรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อย
Q6: เลเซอร์จอตาเจ็บหรือเปล่า?
A: ไม่เจ็บมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ทนได้ อาจรู้สึกจี้ ๆ ในดวงตาเล็กน้อย ใช้เวลาประมาณ 15–30 นาที แล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที
Q7: ผ่าตัดจอตาใช้เวลานานไหม? ต้องนอนโรงพยาบาลหรือไม่?
A: ใช้เวลาประมาณ 1–2 ชั่วโมง โดยมากเป็นการผ่าตัดแบบผู้ป่วยนอก ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ยกเว้นกรณีที่ใช้ก๊าซในตาหรือมีภาวะแทรกซ้อน
Q8: จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงโรคจอตา?
A: หากคุณมีอาการใด ๆ ดังต่อไปนี้ ควรพบแพทย์ทันที:
- เห็นจุดดำ
- แสงวาบ
- ภาพบิดเบี้ยว
- เงาดำบังภาพบางส่วน
- การมองเห็นพร่ามัวเฉียบพลัน
Q9: สามารถป้องกันโรคจอตาได้หรือไม่?
A: ได้ โดยการ:
- ตรวจจอตาเป็นประจำ
- รับประทานอาหารบำรุงจอตา (ลูทีน, วิตามินเอ)
- สวมแว่นกันแดด
- หลีกเลี่ยงการจ้องจอนาน
- เลิกบุหรี่
- ควบคุมโรคเบาหวานและความดัน
Q10: โรคจอตาอันตรายถึงขั้นตาบอดไหม?
A: ใช่ หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา โดยเฉพาะ จอตาหลุดลอก, จอตาเสื่อมเปียก, และ เบาหวานขึ้นจอตาระยะรุนแรง อาจทำให้ตาบอดถาวรในเวลาอันสั้น
Q11: โรคจอตาติดต่อกันได้หรือไม่?
A: โรคจอตาไม่ใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ในบางกรณี เช่น Retinitis Pigmentosa
Q12: เด็กควรตรวจจอตาหรือไม่?
A: ควร โดยเฉพาะในกรณี:
- คลอดก่อนกำหนด
- มีสายตาสั้นมาก
- พฤติกรรมจ้องตาไม่ตรง
- พ่อแม่มีประวัติโรคจอตา
เมื่อทุกคำถามได้รับคำตอบแล้ว หัวข้อสุดท้ายคือ “สรุปภาพรวมและแนวทางปฏิบัติ” ที่จะรวบรวมประเด็นสำคัญจากบทความทั้งหมด เพื่อให้คุณมีแนวทางดูแลจอตาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
สรุปภาพรวมและแนวทางปฏิบัติ
จอตา: อวัยวะเล็กแต่ผลกระทบใหญ่—รู้เร็ว ป้องกันทัน รักษาไว
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “จอตา” อย่างลึกซึ้งในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง หน้าที่ อาการผิดปกติ โรคที่พบบ่อย วิธีการวินิจฉัย แนวทางรักษา และการป้องกัน ครบถ้วนแล้วในบทความนี้ สิ่งสำคัญที่ผู้อ่านควรนำไปปฏิบัติคือ “การดูแลรักษาสายตาอย่างต่อเนื่อง” เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่ไม่มีอะไหล่เปลี่ยนได้ และการเสียหายที่เกิดขึ้นกับ จอตา มักไม่สามารถย้อนกลับมาได้ 100%
ประเด็นสำคัญที่ควรจดจำ
- จอตา เป็นศูนย์กลางของการมองเห็นที่ไวต่อความเสื่อมและความเสียหาย
- โรคจอตาหลายชนิดเริ่มจาก “ไม่มีอาการ” และตรวจพบเมื่อสายเกินไป
- การตรวจจอตาเป็นประจำคือด่านแรกของการป้องกัน
- การรักษาจอตาได้ผลดีหากเริ่มเร็ว
- พฤติกรรมประจำวันมีผลต่อสุขภาพจอตามากกว่าที่คิด
- กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ, เบาหวาน, สายตาสั้นรุนแรง, พันธุกรรม, และผู้ใช้จอนาน
แนวทางปฏิบัติเพื่อรักษาจอตาให้แข็งแรง
✅ ตรวจจอตาอย่างน้อยปีละครั้ง
✅ หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน/ความดัน ควรตรวจทุก 6 เดือน
✅ หยุดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ขยี้ตา ใช้สายตาเกินกำลัง
✅ สวมแว่นกันแดด ป้องกันแสง UV
✅ เสริมอาหารบำรุงตา ที่มีลูทีน ซีแซนทีน โอเมก้า-3
✅ พักสายตาเป็นระยะ หากใช้หน้าจอ
✅ พบแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติ เช่น จุดดำ แสงวาบ หรือมองเห็นบิดเบี้ยว
อย่ารอให้สายเกินไป…เพราะการมองเห็นคือชีวิต
ในขณะที่เทคโนโลยีการรักษาโรคจอตาในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างมาก การผ่าตัด การฉีดยา และเลเซอร์สามารถช่วยฟื้นฟูการมองเห็นได้ในหลายกรณี แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ไม่สามารถคืนสายตาให้สมบูรณ์ในทุกราย
ดังนั้น การดูแลก่อนเกิดโรค ย่อมดีกว่า การรักษาภายหลังโรคลุกลาม เสมอ
CTA (Call to Action): ตรวจจอตากับผู้เชี่ยวชาญ…วันนี้
หากคุณไม่แน่ใจว่าจอตาของคุณยังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ หรือมีอาการผิดปกติเล็กน้อย เช่น มองไม่ชัด เห็นจุดลอยในตา อย่าละเลย!
👉 จองคิวตรวจจอตาออนไลน์ กับทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาลปิยะเวทได้ที่นี่
🔗 คลิกเพื่อจองตรวจจอตา
เพราะการมองเห็นที่ชัดเจนคือคุณภาพชีวิตที่คุณเลือกได้
ทิ้งท้าย: จอตา ≠ เรื่องเล็ก
แม้จอตาจะเป็นเพียงเนื้อเยื่อบาง ๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในดวงตา แต่มันคือหัวใจของการมองเห็นและการดำเนินชีวิตทั้งหมด
การดูแลสุขภาพจอตา = การดูแลอนาคตของคุณเอง