จอประสาทตาเสื่อม

จอประสาทตาเสื่อม

           เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของ จอตา ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการมองเห็น ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการ เช่น ตามัว เห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีจุดดำกลางสายตา ซึ่งถือเป็นสัญญาณของ จอประสาทตาเสื่อม หากไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ บางรายอาจสับสนกับโรคตาอื่น เช่น กระจกตาเสื่อม หรือภาวะ จอตาลอก ที่มีอาการใกล้เคียงกัน ดังนั้นการทำความเข้าใจอาการและการเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรักษาอย่างทันท่วงที

จอประสาทตาเสื่อม จอตา กระจกตาเสื่อม จอตาลอก จอตาเสื่อมอาการ
จอประสาทตาเสื่อม จอตา กระจกตาเสื่อม จอตาลอก จอตาเสื่อมอาการ

จอตาคืออะไร? ความสำคัญของจอประสาทตา

         จอตา (Retina) คือ ชั้นเนื้อเยื่อที่บางและซับซ้อนมาก อยู่ด้านในสุดของลูกตา มีหน้าที่เหมือนฟิล์มของกล้องถ่ายรูป ทำงานโดยรับแสงที่ผ่านกระจกตาและเลนส์ตา แล้วเปลี่ยนเป็นสัญญาณประสาทส่งไปยังสมองเพื่อแปลความหมายเป็นภาพที่เราเห็น

โครงสร้างของจอตาประกอบด้วยเซลล์รับแสง 2 ชนิดสำคัญ:

  1. Rods – ทำงานได้ดีในที่มืด ช่วยในการมองเห็นเวลากลางคืนและนอกรอบสายตา (Peripheral vision)
  2. Cones – ทำงานได้ดีในที่สว่าง ช่วยให้เรามองเห็นรายละเอียดและแยกสีได้

           บริเวณสำคัญที่สุดของจอตาคือ Macula ซึ่งรวมเซลล์ Cone จำนวนมากที่สุด ทำให้เราสามารถมองเห็นชัดตรงกลางภาพ หาก Macula เสื่อมลง จะทำให้เกิด จอประสาทตาเสื่อม

            ความผิดปกติของจอตามีหลายรูปแบบ ไม่เพียงแต่โรคนี้ แต่ยังรวมถึง จอตาลอก ซึ่งเกิดจากการที่จอตาแยกออกจากชั้นรองรับ ส่งผลให้การมองเห็นสูญเสียเฉียบพลัน ต่างจากโรค กระจกตาเสื่อม ที่เกิดขึ้นกับกระจกตาซึ่งเป็นชั้นหน้า ดวงตา โดยถึงแม้ตำแหน่งต่างกัน แต่ทั้งหมดล้วนส่งผลต่อคุณภาพการมองเห็น

           จอตา จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง หากจอตาเสียหายเพียงเล็กน้อย ก็อาจกระทบการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ตั้งแต่การอ่านหนังสือ ไปจนถึงการมองเห็นใบหน้าคนรัก และนี่คือเหตุผลว่าทำไมโรค จอประสาทตาเสื่อม จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม


จอประสาทตาเสื่อมคืออะไร

       จอประสาทตาเสื่อมตามอายุ Age-related Macular Degeneration (AMD) เป็น ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อจุดรับภาพตรงกลางของ จอตา เสื่อมสภาพไปตามอายุหรือปัจจัยอื่น ๆ ทำให้การมองเห็นตรงกลางภาพพร่ามัวหรือบิดเบี้ยว ผู้ป่วยอาจยังคงมองเห็นด้านข้างได้ดี แต่จะไม่สามารถโฟกัสภาพตรงกลางได้ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ต่อกิจวัตรประจำวัน เช่น อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ หรือขับรถ

โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

  1. จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD)
    • พบมากที่สุด 
    • เกิดจากการสะสมของสารที่เรียกว่า Drusen ใต้จอตา ทำให้เซลล์ประสาทเสื่อมลงทีละน้อย
    • การดำเนินโรคช้า แต่หากปล่อยไว้ก็อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร
  2. จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD)
    • พบน้อยกว่า แต่รุนแรงมากกว่า
    • เกิดจากการสร้างเส้นเลือดผิดปกติใต้จอตา เส้นเลือดเหล่านี้เปราะบางและรั่ว ทำให้มีเลือดหรือน้ำซึมเข้าไปใน Macula
    • ส่งผลให้การมองเห็นสูญเสียอย่างรวดเร็ว

ผู้ป่วยหลายคนเข้าใจผิดว่าอาการเหล่านี้เป็นเพียงความผิดปกติทั่วไปของดวงตา เช่น สายตาสั้นหรือยาว แต่แท้จริงแล้วมันคือสัญญาณของ จอตาเสื่อม อาการที่ต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทาง การตรวจพบเร็ว คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยรักษาการมองเห็นไว้ได้นานที่สุด


สาเหตุของจอประสาทตาเสื่อม

จอประสาทตาเสื่อม เป็นภาวะที่มีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ทั้งจากภายในร่างกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยยังไม่มีคำตอบตายตัวว่าเกิดจากสาเหตุใดเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่นักวิจัยและแพทย์ยืนยันว่ามีส่วนทำให้โรคนี้เกิดขึ้นและพัฒนาไปอย่างรวดเร็วขึ้น

1. อายุ

อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่สุดที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้ ผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปจะมีโอกาสเกิด จอประสาทตาเสื่อม มากกว่าคนหนุ่มสาวหลายเท่า เนื่องจากโครงสร้างของ จอตา จะเสื่อมลงตามกาลเวลา การหมุนเวียนของเลือดและสารอาหารลดลง เซลล์รับภาพทำงานได้น้อยลง และทำให้เกิดการสะสมของสารตกค้างใต้จอตา

2. พันธุกรรม

การมีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้เพิ่มความเสี่ยงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักวิทยาศาสตร์พบว่ายีนบางชนิดเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค จอประสาทตาเสื่อม หากมีประวัติครอบครัว ก็จะเพิ่มความเสี่ยงสูงมากขึ้น

3. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • การสูบบุหรี่ เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดที่ควบคุมได้ โดยบุหรี่ทำให้เส้นเลือดที่เลี้ยงจอตาถูกทำลาย และลดสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
  • การรับประทานอาหาร ที่ขาดผัก ผลไม้ และสารอาหารที่จำเป็นต่อดวงตา เช่น วิตามิน C, E, สังกะสี, ลูทีน, ซีแซนทีน อาจเร่งให้การเสื่อมของ จอตา เกิดเร็วขึ้น
  • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ทำให้ความสามารถในการไหลเวียนเลือดไปยังจอตาลดลง

4. โรคประจำตัว

ผู้ที่มีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง มีโอกาสเกิด จอประสาทตาเสื่อม ได้มากกว่า เพราะโรคเหล่านี้ทำให้เส้นเลือดเล็ก ๆ ใน จอตา เสื่อมสภาพง่ายขึ้น

5. ปัจจัยอื่น ๆ

  • การได้รับแสงแดดจัด โดยไม่ป้องกันดวงตา
  • น้ำหนักเกิน และการขาดการออกกำลังกาย
  • เพศหญิงมีโอกาสมากกว่าเล็กน้อย เนื่องจากมีอายุขัยยืนยาวกว่าเพศชาย

อาการของจอประสาทตาเสื่อม

      อาการของโรคนี้แตกต่างกันไปตามชนิดและความรุนแรง แต่มีจุดร่วมคือ การมองเห็นตรงกลางแย่ลง ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความลำบากอย่างมากต่อผู้ป่วย

1. อาการเริ่มแรก

  • มองเห็นตัวหนังสือหรือเส้นตรงบิดเบี้ยว
  • ต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นกว่าปกติในการอ่านหนังสือ
  • มองเห็นสีไม่ชัดหรือสีผิดเพี้ยน
  • การรับรู้รายละเอียดเล็ก ๆ เช่น ตัวเลขเล็ก ๆ หรือลายเส้นละเอียดเริ่มยากขึ้น

2. อาการเมื่อโรครุนแรงขึ้น

  • เห็นจุดดำกลางสายตา (Central scotoma)
  • การมองเห็นตรงกลางภาพหายไป แต่รอบข้างยังพอมองเห็นได้
  • การอ่านหนังสือ หรือมองเห็นใบหน้าคนใกล้ตัวทำได้ลำบาก
  • ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหมือนมีเงาหรือหมอกบังตาตลอดเวลา

3. ความแตกต่างกับโรคอื่น

  • จอตาลอก – ผู้ป่วยจะเห็นแสงวาบ เห็นหยากไย่ลอยไปมา เห็นเงาดำเหมือนมีม่านบัง และอาจสูญเสียการมองเห็นอย่างเฉียบพลัน ต่างจาก จอประสาทตาเสื่อม ที่ดำเนินไปช้า
  • กระจกตาเสื่อม – ทำให้แสงเข้าสู่ตาบิดเบี้ยวก่อนถึงจอตา อาการหลักคือการมองเห็นพร่ามัวเรื่อย ๆ แต่ไม่เกิดจุดดำกลางภาพ

การรักษาจอประสาทตาเสื่อม

       การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและระยะที่ตรวจพบ โดยเป้าหมายหลักคือ ชะลอการเสื่อมและรักษาการมองเห็นให้นานที่สุด

1. การรักษาแบบจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง (Dry AMD)

ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่สามารถลดความเสี่ยงในการลุกลามด้วยการดูแลสุขภาพและใช้วิตามินเสริม สูตรที่เป็นที่ยอมรับคือ 

  1. AREDS (Age-Related Eye Disease Study) ซึ่งประกอบด้วย :
  • วิตามิน C
  • วิตามิน E
  • สังกะสี
  • ลูทีน และซีแซนทีน

      2.ยาฉีดที่ใช้รักษาจอตาเสื่อมมากแบบ Geograhic atrophy คือ ยาใหม่ที่เรื่มใช้มากขึ้น เช่น Pegcetacoplan ได้รับการอนุมัติโดย FDA สหรัฐอเมริกา ปี 2023 ต้องฉีดเข้าตาเป็นระยะ ช่วยชะลอการลุกลาม แต่ไม่ได้ทำให้เซลล์ที่เสียไปแล้วกลับมา

2. การรักษาแบบจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (Wet AMD)

  • การฉีดยา Anti-VEGF – เช่น Ranibizumab, Aflibercept ช่วยยับยั้งการเกิดเส้นเลือดผิดปกติ ลดการรั่วซึมและเลือดออกใต้จอตา
  • การรักษาด้วยเลเซอร์ – ใช้เลเซอร์ปิดเส้นเลือดผิดปกติ แต่ปัจจุบันใช้น้อยลงเพราะอาจทำลายเนื้อเยื่อดี
  • Photodynamic Therapy (PDT) – ใช้ยาร่วมกับเลเซอร์ความเข้มต่ำเพื่อทำลายเส้นเลือดผิดปกติ

3. การผ่าตัดและนวัตกรรมใหม่

            ในบางกรณีอาจมีการใช้เลนส์พิเศษ (Implantable miniature telescope) หรือเทคนิคการผ่าตัดเพื่อย้ายตำแหน่ง Macula เพื่อลดผลกระทบของโรค แต่เป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูง ยังไม่ใช่วิธีมาตรฐานในปัจจุบัน (Macular translocation surgery )

4. การฟื้นฟูสมรรถภาพการมองเห็น

            แม้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถใช้เครื่องช่วยการมองเห็น เช่น แว่นขยายพิเศษ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการฝึกใช้สายตาส่วนรอบข้างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. คำแนะนำในการใช้ชีวิต

  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตา
  • เลี่ยงบุหรี่และแอลกอฮอล์
  • ใส่แว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ

การดูแลและป้องกันจอประสาทตาเสื่อม

แม้ว่า จอประสาทตาเสื่อม จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและชะลอการดำเนินโรคได้ด้วยการดูแลตนเองที่ถูกต้อง

1. โภชนาการเพื่อสุขภาพตา

  • บริโภคผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม ซึ่งมีลูทีนและซีแซนทีน
  • รับประทานปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า ที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3
  • ลดเนื้อแดง อาหารแปรรูป
  • ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ส้ม กีวี
  • ถั่วและเมล็ดพืชที่มีวิตามินอี
  • วิตามินสูตรเฉพาะตาม ARED2 Study

2. เลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

  • หยุดสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์
  • ใส่แว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันรังสี UV

3. การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ

ผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ควรตรวจ จอตา อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อคัดกรองอาการตั้งแต่เริ่มแรก หากพบสัญญาณของ อาการจอตาเสื่อม จะได้รักษาอย่างทันท่วงที


คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: จอประสาทตาเสื่อมหายขาดหรือไม่?
A: ไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมและชะลอได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม เช่น การฉีดยา Anti-VEGF

Q2: อาการเริ่มแรกของจอตาเสื่อมอาการคืออะไร?
A: มักเริ่มจากมองเห็นภาพบิดเบี้ยว ตัวหนังสือคดงอ และเห็นจุดดำกลางภาพ

Q3: จอตาลอกต่างจากจอประสาทตาเสื่อมอย่างไร?
A: จอตาลอกทำให้การมองเห็นหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่จอประสาทตาเสื่อมมีการดำเนินโรคช้ากว่า

Q4: โรคนี้สัมพันธ์กับกระจกตาเสื่อมหรือไม่?
A: ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ทั้งสองโรคอาจทำให้การมองเห็นลดลงและผู้ป่วยสับสนได้

Q5: ควรตรวจตาบ่อยแค่ไหน?
A: หากอายุมากกว่า 50 ปี ควรตรวจตาอย่างน้อยปีละครั้ง หรือเร็วกว่านั้นหากมีอาการผิดปกติ

ศูนย์จักษุ

ศูนย์จักษุ

ชั้น 15,

อาคารหลัก

เปิดทุกวัน 08.00-19.00 น.

โทร. 061-397-9403

Scroll to Top