ตาเขในเด็ก ตาเหล่ในเด็ก

ตาเขในเด็ก ตาเหล่ในเด็ก

ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก เป็นภาวะความผิดปกติของ การจัดเรียงแกนสายตา ที่พบได้บ่อยในวัยเด็ก ซึ่งหมายความว่า ดวงตาทั้งสองข้างไม่สามารถมองไปยังจุดเดียวกันได้พร้อมกันอย่างปกติ เด็กบางรายอาจมี ตาเขเข้า, ตาเขออก, ตาเขขึ้น หรือ ตาเขลง ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อ การมองเห็น, การรับรู้ภาพสามมิติ และ พัฒนาการด้านการเรียนรู้ ของเด็กอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ สาเหตุของ ตาเข ในเด็ก และ ตาเหล่ ในเด็ก อาจเกี่ยวข้องกับ พันธุกรรม, ความผิดปกติของกล้ามเนื้อตา, หรือ ภาวะสายตาสั้น, สายตายาว และ สายตาเอียง ที่ไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ ในขณะเดียวกัน เด็กบางรายอาจเกิดจาก โรคระบบประสาท หรือ โรคทางสมอง ดังนั้น การตรวจตาเด็ก เป็นประจำจึงมีความสำคัญ เพราะช่วยให้สามารถวินิจฉัยภาวะผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และวางแผน การรักษาตาเข หรือ การรักษาตาเหล่ ได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ วิธีรักษา ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก มีหลายวิธี เช่น การใส่แว่นตา, การปิดตาข้างดี (Patch Therapy), การทำกายภาพบำบัดสายตา (Vision Therapy) และ การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา โดยการเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับ อายุของเด็ก, ระดับความรุนแรง และ สาเหตุของโรค ดังนั้น ผู้ปกครองควรพาเด็กพบ จักษุแพทย์เด็ก เพื่อรับคำแนะนำและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุด การตระหนักถึงความสำคัญของ ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกัน ภาวะแทรกซ้อน เช่น สายตาขี้เกียจ (Amblyopia) หรือ การสูญเสียการมองเห็นถาวร อีกทั้งยังช่วยให้เด็กมี คุณภาพชีวิตที่ดี, ความมั่นใจในตนเอง และ พัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย

สายตาขี้เกียจ จักษุแพทย์เด็ก ตาเข ตาเหล่ ตาเขเข้า
สายตาขี้เกียจ จักษุแพทย์เด็ก ตาเข ตาเหล่ ตาเขเข้า

ตาเข ตาเหล่คืออะไร?

ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก คือภาวะความผิดปกติที่ ดวงตาทั้งสองข้าง ไม่สามารถมองไปยังจุดเดียวกันได้พร้อมกัน ซึ่งหมายความว่า แกนสายตาของเด็กจะไม่อยู่ในแนวเดียวกัน อาจมองไปคนละทิศทาง ทำให้การประสานงานระหว่าง ดวงตา และ สมอง ทำงานไม่สมบูรณ์ ภาพที่เห็นอาจซ้อนกันหรือไม่ชัดเจน และในบางรายสมองอาจเลือกมองจากตาข้างเดียว ส่งผลให้เกิด สายตาขี้เกียจ ได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ ภาวะ ตาเข และ ตาเหล่ สามารถแบ่งออกได้หลายชนิด เช่น

  • ตาเขเข้า (Esotropia) – ดวงตาหันเข้าด้านใน
  • ตาเขออก (Exotropia) – ดวงตาหันออกด้านนอก
  • ตาเขขึ้น (Hypertropia) – ดวงตาข้างหนึ่งสูงกว่าอีกข้าง
  • ตาเขลง (Hypotropia) – ดวงตาข้างหนึ่งต่ำกว่าอีกข้าง

ในขณะเดียวกัน ความแตกต่างระหว่าง ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก อยู่ที่ลักษณะและความถาวรของการเบี่ยงเบน ตาเหล่ มักเป็นภาวะที่เห็นได้ชัดเจนและต่อเนื่อง ขณะที่ ตาเข บางครั้งอาจเกิดเป็นช่วง ๆ เช่น เวลาที่เด็กเหนื่อยหรือป่วย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองภาวะล้วนต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

ดังนั้น การรู้จักความหมายและประเภทของ ตาเข และ ตาเหล่ จะช่วยให้ผู้ปกครองสามารถสังเกตอาการได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และรีบพาเด็กเข้ารับ การตรวจตาเด็ก เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้พัฒนาการด้านการมองเห็นดำเนินไปอย่างปกติ

ประเภทของตาเข ตาเหล่ในเด็ก

ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามทิศทางของการเบี่ยงเบนของดวงตา ซึ่งหมายความว่า การจำแนกประเภทจะช่วยให้จักษุแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้เหมาะสมกับสภาพของเด็กแต่ละราย

1. ตาเขเข้า (Esotropia)

ภาวะที่ดวงตาหันเข้าด้านใน อาจเกิดขึ้นตลอดเวลา หรือเฉพาะเวลาที่เด็กจ้องมองวัตถุใกล้ ๆ นอกจากนี้ ตาเขเข้ามักพบร่วมกับ ภาวะสายตายาว และอาจต้องใช้ แว่นตาเด็ก เพื่อช่วยปรับการมองเห็น

2. ตาเขออก (Exotropia)

ดวงตาหันออกด้านนอก อาจเห็นได้ชัดเมื่อเด็กมองไกลหรือรู้สึกเหนื่อย ในขณะเดียวกัน เด็กบางคนอาจมองเห็นภาพซ้อนและพยายามหรี่ตาข้างหนึ่งเพื่อลดอาการ

3. ตาเขขึ้น (Hypertropia)

ดวงตาข้างหนึ่งอยู่สูงกว่าอีกข้าง ส่งผลให้ การมองเห็นสองตา (Binocular Vision) ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เด็กอาจเอียงหัวเพื่อปรับมุมมอง

4. ตาเขลง (Hypotropia)

ดวงตาข้างหนึ่งอยู่ต่ำกว่าอีกข้าง อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้พบได้น้อยกว่าแบบอื่น แต่หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ สายตาขี้เกียจ ได้

ดังนั้น การจำแนกประเภทของ ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนรักษา เพื่อให้การมองเห็นของเด็กกลับมาใกล้เคียงปกติมากที่สุด

สาเหตุของตาเข ตาเหล่ในเด็ก

ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก อาจเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการทำงานของ กล้ามเนื้อตา และการประสานงานระหว่างดวงตากับสมอง ซึ่งหมายความว่า การรู้สาเหตุที่แท้จริงจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดโอกาสเกิดซ้ำ

1. พันธุกรรม

เด็กที่มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็น ตาเข หรือ ตาเหล่ มีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะนี้เช่นกัน นอกจากนี้ การถ่ายทอดทางพันธุกรรมยังอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของการพัฒนาระบบการมองเห็น

2. ความผิดปกติของกล้ามเนื้อตา

โครงสร้างหรือการทำงานของ กล้ามเนื้อตา อาจไม่สมดุล ทำให้ตาไม่สามารถเคลื่อนไหวพร้อมกันได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิด การเบี่ยงเบนของแกนสายตา

3. ภาวะสายตาผิดปกติ

ภาวะสายตาสั้น, ภาวะสายตายาว หรือ สายตาเอียง ที่ไม่ได้รับการแก้ไขตั้งแต่เนิ่น ๆ อาจทำให้ดวงตาข้างหนึ่งทำงานหนักเกินไป ในขณะเดียวกัน อีกข้างหนึ่งถูกใช้น้อยลง จนเกิดความไม่สมดุลและนำไปสู่ สายตาขี้เกียจ

4. โรคหรือภาวะทางระบบประสาท

โรคบางชนิด เช่น ดาวน์ซินโดรม, สมองพิการ (Cerebral Palsy) หรือการบาดเจ็บทางสมอง อาจทำให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตาผิดปกติ

5. ปัจจัยอื่น ๆ

การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ หรือการติดเชื้อรุนแรงในวัยทารก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิด ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก

ดังนั้น การเข้าใจสาเหตุของภาวะนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ผู้ปกครองและจักษุแพทย์วางแผน การรักษาตาเข หรือ การรักษาตาเหล่ ได้ตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

อาการและสัญญาณเตือน

ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก มักแสดงอาการที่สามารถสังเกตได้ตั้งแต่ช่วงวัยทารกหรือวัยเด็กตอนต้น ซึ่งหมายความว่า หากผู้ปกครองรู้จักสัญญาณเตือนเหล่านี้ จะสามารถพาเด็กเข้ารับการตรวจและรักษาได้เร็วขึ้น

1. การมองเห็นของดวงตาไม่ตรงกัน

ดวงตาทั้งสองข้างไม่มองไปยังจุดเดียวกัน บางครั้งอาจเห็น ตาเขเข้า, ตาเขออก, ตาเขขึ้น หรือ ตาเขลง อย่างชัดเจน

2. การหรี่ตาหรือปิดตาข้างหนึ่ง

นอกจากนี้ เด็กบางคนอาจหรี่ตาหรือปิดตาข้างหนึ่ง โดยเฉพาะเวลามองในที่สว่างหรือมองไกล เพื่อหลีกเลี่ยงภาพซ้อน

3. การเอียงศีรษะหรือหมุนคอขณะมอง

เป็นพฤติกรรมชดเชยของเด็กที่มีปัญหาการจัดเรียงแกนสายตา เพื่อให้การมองเห็นชัดขึ้นและลดความเหนื่อยล้าของดวงตา

4. การมองเห็นภาพซ้อน

ในขณะเดียวกัน เด็กอาจบอกว่ามองเห็นวัตถุซ้อนกัน หรือมีปัญหาในการโฟกัสภาพ โดยเฉพาะเมื่ออ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตานาน ๆ

5. ปัญหาด้านพัฒนาการการมองเห็น

เด็กอาจมี สายตาขี้เกียจ เนื่องจากสมองเลือกใช้ภาพจากตาข้างที่เห็นชัดกว่า ทำให้การมองเห็นสองตาทำงานร่วมกันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ดังนั้น การสังเกตอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิดและพาเด็กไปพบ จักษุแพทย์เด็ก เพื่อตรวจวินิจฉัย จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาให้ได้ผลดีที่สุด

การวินิจฉัยตาเข ตาเหล่ในเด็ก

การวินิจฉัย ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก จำเป็นต้องทำโดย จักษุแพทย์เด็ก หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการมองเห็นในเด็ก ซึ่งหมายความว่า ขั้นตอนการตรวจจะถูกออกแบบให้เหมาะสมกับวัยของเด็กและสามารถประเมินได้แม้ในกรณีที่เด็กยังพูดไม่ได้หรือให้ความร่วมมือจำกัด

1. การซักประวัติและตรวจร่างกายเบื้องต้น

แพทย์จะสอบถามประวัติครอบครัวเกี่ยวกับภาวะ ตาเข หรือ ตาเหล่ รวมถึงโรคประจำตัว เช่น ดาวน์ซินโดรม หรือ สมองพิการ นอกจากนี้ ยังประเมินพฤติกรรมการใช้สายตาของเด็กในชีวิตประจำวัน

2. การตรวจการมองเห็น (Visual Acuity Test)

ใช้วิธีการที่เหมาะสมตามช่วงอายุ เช่น การดูการติดตามวัตถุด้วยตา หรือการใช้แผ่นทดสอบสายตาในเด็กโต เพื่อวัดความสามารถในการมองเห็นแต่ละข้าง

3. การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อตา

ทดสอบการเคลื่อนไหวของดวงตาในทุกทิศทางเพื่อหาความผิดปกติ ในขณะเดียวกัน อาจใช้การทดสอบแบบ Cover Test เพื่อประเมินว่าตาข้างใดเบี่ยงเบนเมื่ออีกข้างถูกปิด

4. การตรวจด้วยเลนส์ปริซึม (Prism Test)

ใช้เลนส์ปริซึมช่วยวัดมุมการเบี่ยงเบนของตาอย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการวางแผนรักษา

5. การตรวจหาโรคตาร่วม

ตรวจหาภาวะ สายตาสั้น, สายตายาว, สายตาเอียง และ สายตาขี้เกียจ เพราะมักพบร่วมกับภาวะ ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก

ดังนั้น การวินิจฉัยที่แม่นยำและครอบคลุมจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้การรักษาได้ผลดีที่สุดและป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในอนาคต

สายตาขี้เกียจ จักษุแพทย์เด็ก ตาเข ตาเหล่ ตาเขเข้า
จักษุแพทย์เด็ก ตาเข ตาเหล่ ตาเขเข้า

วิธีรักษาตาเข ตาเหล่ในเด็ก

การรักษา ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก ควรได้รับการประเมินและวางแผนโดย จักษุแพทย์เด็ก ซึ่งหมายความว่า แผนการรักษาจะต้องพิจารณาจากสาเหตุ ระดับความรุนแรง อายุของเด็ก และสภาพสายตาร่วมอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด

1. การใส่แว่นตา (Corrective Glasses)

นอกจากนี้ เด็กที่มี สายตาสั้น, สายตายาว หรือ สายตาเอียง อาจได้รับการแก้ไขด้วยการใส่แว่นตา เพื่อช่วยให้ดวงตาสามารถโฟกัสภาพได้ชัดเจนและลดการเบี่ยงเบนของตา

2. การปิดตาข้างดี (Patch Therapy)

วิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้ตาข้างที่อ่อนแอทำงานมากขึ้น และลดโอกาสเกิด สายตาขี้เกียจ การใช้แผ่นปิดตาต้องทำอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์

3. การทำกายภาพบำบัดสายตา (Vision Therapy)

ในขณะเดียวกัน เด็กบางรายอาจได้รับการฝึกกล้ามเนื้อตาผ่านกิจกรรมหรืออุปกรณ์เฉพาะ เพื่อปรับปรุงการประสานงานของดวงตาทั้งสองข้าง

4. การใช้เลนส์ปริซึม (Prism Lenses)

เลนส์ชนิดพิเศษนี้ช่วยแก้ไขปัญหาภาพซ้อนและช่วยให้ดวงตาทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น เหมาะในบางกรณีที่การเบี่ยงเบนมีระดับเล็กน้อย

5. การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา

อย่างไรก็ตาม หากวิธีอื่นไม่ได้ผลหรือภาวะรุนแรง แพทย์อาจแนะนำ การผ่าตัดกล้ามเนื้อตา เพื่อปรับตำแหน่งและแรงดึงของกล้ามเนื้อตาให้สมดุล

ดังนั้น การรักษาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยและการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยผู้ปกครองควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เด็กฟื้นฟูการมองเห็นได้เต็มศักยภาพ

ผลลัพธ์หลังการรักษา และการติดตาม

การรักษา ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก หากทำอย่างถูกต้องและเริ่มในช่วงวัยที่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า เด็กมีโอกาสสูงที่จะฟื้นฟูการมองเห็นให้ใกล้เคียงปกติ ทั้งในด้านความคมชัดและการประสานงานของดวงตาทั้งสองข้าง

1. การฟื้นตัวของการมองเห็น

หลังการรักษา เด็กส่วนใหญ่สามารถมองเห็นได้ชัดขึ้น ลดการเบี่ยงเบนของตา และปรับปรุง การมองเห็นสองตา ให้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น

2. การลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

นอกจากนี้ การรักษาที่เหมาะสมจะช่วยป้องกัน สายตาขี้เกียจ และลดโอกาสเกิดปัญหาภาพซ้อน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อพัฒนาการการเรียนรู้

3. การปรับตัวด้านบุคลิกภาพและความมั่นใจ

เมื่อรูปลักษณ์ของดวงตากลับมาเป็นปกติ เด็กมักมีความมั่นใจมากขึ้น ส่งผลต่อการเข้าสังคมและพัฒนาการทางอารมณ์

4. ความสำคัญของการติดตามผล

ในขณะเดียวกัน แม้การรักษาจะได้ผลดี เด็กยังต้องได้รับการติดตามเพื่อตรวจสอบว่า ตาเข หรือ ตาเหล่ ไม่กลับมาเป็นซ้ำ และเพื่อปรับแผนการรักษาหากจำเป็น

ดังนั้น การรักษาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ การติดตามอาการอย่างต่อเนื่องกับ จักษุแพทย์เด็ก จึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการคงผลลัพธ์ที่ดีระยะยาว

ภาวะแทรกซ้อนหากปล่อยไว้

หาก ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งหมายความว่า ภาวะนี้อาจนำไปสู่ปัญหาการมองเห็นและพัฒนาการในระยะยาวที่แก้ไขได้ยาก

1. สายตาขี้เกียจ (Amblyopia)

เมื่อสมองเลือกใช้ภาพจากตาข้างที่เห็นชัดกว่า ขณะที่อีกข้างถูกละเลย นอกจากนี้ การทำงานของตาข้างนั้นจะลดลงเรื่อย ๆ จนเกิด สายตาขี้เกียจ ซึ่งหากปล่อยไว้นานจะรักษาได้ยาก

2. การมองเห็นสองตาผิดปกติ

เด็กอาจสูญเสียความสามารถในการใช้ การมองเห็นสองตา ทำให้จับระยะทางหรือมองภาพสามมิติได้ไม่แม่นยำ

3. ภาพซ้อน (Double Vision)

ในขณะเดียวกัน เด็กบางรายอาจมองเห็นวัตถุซ้อนกัน ทำให้เกิดความสับสนทางสายตาและรบกวนการทำกิจกรรมประจำวัน

4. ผลกระทบทางจิตใจและสังคม

ความผิดปกติของตำแหน่งดวงตาอาจทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ส่งผลต่อการเข้าสังคมและพัฒนาการด้านอารมณ์ อย่างไรก็ตาม การรักษาเร็วสามารถป้องกันปัญหานี้ได้

ดังนั้น การตรวจพบและรักษา ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก ตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงมีความสำคัญ เพื่อป้องกันทั้งภาวะแทรกซ้อนทางสายตาและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเด็ก

การป้องกันและการดูแลดวงตาเด็ก

แม้ว่า ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก จะไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า การดูแลดวงตาและการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความรุนแรงของภาวะนี้ และเพิ่มโอกาสในการรักษาให้ได้ผลดี

1. ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ

ควรพาเด็กเข้ารับ การตรวจตาเด็ก อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นหากมีประวัติครอบครัวเป็น ตาเข หรือ ตาเหล่ นอกจากนี้ การตรวจเร็วช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

2. สังเกตพฤติกรรมการมองเห็นของเด็ก

หากเด็กมีพฤติกรรมหรี่ตา เอียงหัว หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อมองวัตถุ ควรรีบพาไปพบ จักษุแพทย์เด็ก เพื่อประเมินและตรวจสอบปัญหา

3. ดูแลสุขภาพสายตาในชีวิตประจำวัน

จำกัดเวลาใช้หน้าจอในเด็กเล็ก ให้พักสายตาทุก 20–30 นาที และจัดแสงสว่างให้เพียงพอในขณะอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน ในขณะเดียวกัน ควรส่งเสริมกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อกระตุ้นการทำงานของดวงตา

4. รักษาภาวะสายตาผิดปกติทันที

หากพบว่าเด็กมี สายตาสั้น, สายตายาว หรือ สายตาเอียง ควรแก้ไขด้วยแว่นตาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิด สายตาขี้เกียจ และภาวะตาเข

ดังนั้น การป้องกันและการดูแลที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพดวงตาของเด็ก และช่วยให้เด็กมีพัฒนาการการมองเห็นที่สมบูรณ์

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตาเข ตาเหล่ในเด็ก

Q1: ตาเขในเด็กจะหายได้เองหรือไม่?
โดยส่วนใหญ่ ตาเขในเด็ก จะไม่หายได้เอง หากปล่อยทิ้งไว้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิด สายตาขี้เกียจ และปัญหาการมองเห็นถาวร ดังนั้น ควรเข้ารับการตรวจและรักษาโดยเร็วที่สุด

Q2: เด็กอายุน้อยที่สุดที่สามารถผ่าตัดตาเขได้คือกี่ปี?
โดยทั่วไปสามารถผ่าตัดได้ตั้งแต่อายุ 1–2 ปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและคำแนะนำของ จักษุแพทย์เด็ก

Q3: การปิดตาข้างดีทำให้สายตาแย่ลงหรือไม่?
การปิดตาข้างดีเป็นวิธีที่ปลอดภัย หากทำตามระยะเวลาที่แพทย์แนะนำ จะไม่ทำให้สายตาแย่ลง แต่จะช่วยให้ตาข้างอ่อนแข็งแรงขึ้น

Q4: เด็กที่ใส่แว่นจะหายจากตาเขได้ไหม?
ในบางกรณี การใส่แว่นตา สามารถช่วยปรับการมองเห็นและลดการเบี่ยงเบนของตาได้ แต่ถ้าโครงสร้าง กล้ามเนื้อตา มีความผิดปกติ อาจต้องใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น Vision Therapy หรือการผ่าตัด

Q5: การทำกายภาพบำบัดสายตาได้ผลจริงหรือ?
Vision Therapy ได้ผลในเด็กบางราย โดยเฉพาะกรณีที่ตาเขเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อตาที่ไม่สมดุล

รีวิวจากผู้ปกครองและผู้ป่วยที่รักษาตาเข ตาเหล่ในเด็ก

รีวิว 1 – คุณแม่ของน้องพีค อายุ 5 ขวบ

“น้องพีคเป็น ตาเขเข้า ตั้งแต่เล็ก เราสังเกตเห็นเวลาน้องมองหน้าจอทีวีหรือหนังสือ เขามักจะเอียงหัวหรือปิดตาข้างหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า อาจมีปัญหาการจัดเรียงแกนสายตา พามาตรวจที่โรงพยาบาล พบว่าเป็น ตาเขในเด็ก ระดับปานกลาง นอกจากนี้ คุณหมอแนะนำให้ใส่แว่นและทำการปิดตาข้างดีวันละ 2 ชั่วโมง ร่วมกับการฝึกสายตา หลังจากทำตามอย่างเคร่งครัดประมาณ 6 เดือน อาการดีขึ้นชัดเจน ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มตรงขึ้น และน้องก็มีความมั่นใจมากขึ้น”


รีวิว 2 – คุณพ่อของน้องมายด์ อายุ 7 ขวบ

“น้องมายด์มี ตาเหล่ในเด็ก แบบเป็น ๆ หาย ๆ โดยเฉพาะเวลานั่งอ่านหนังสือใกล้ ๆ ในขณะเดียวกัน เวลามองไกลตาจะตรง คุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นภาวะตาเหล่สลับ (Intermittent Exotropia) แนะนำให้ทำ Vision Therapy ร่วมกับใส่เลนส์ปริซึม ผ่านไป 4 เดือน มุมเบี่ยงเบนลดลงเกือบครึ่ง และการมองเห็นภาพสองตาดีขึ้นมาก”


รีวิว 3 – คุณแม่ของน้องอิงฟ้า อายุ 4 ขวบ

“น้องอิงฟ้าเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดน้อย มีประวัติครอบครัวเป็น ตาเขในเด็ก พออายุได้ 2 ขวบเริ่มสังเกตว่าดวงตาไม่ตรงกัน ดังนั้น เรารีบพามาตรวจ ผลคือเป็น ตาเขเข้า ระดับรุนแรง คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดกล้ามเนื้อตา หลังผ่าตัดและทำกายภาพบำบัดสายตาต่อเนื่อง 1 ปี ดวงตากลับมาตรงและการมองเห็นดีขึ้นจนเท่ากับเด็กปกติ”


รีวิว 4 – คุณพ่อของน้องที อายุ 9 ขวบ

“น้องทีเป็น สายตาขี้เกียจ ร่วมกับ ตาเหล่ในเด็ก จากการที่ไม่ได้ใส่แว่นแก้ สายตายาว ตั้งแต่เล็ก นอกจากนี้ ตาข้างหนึ่งไม่ค่อยถูกใช้งานจนเกิดการเบี่ยงเบน คุณหมอให้ปิดตาข้างดีวันละ 4 ชั่วโมง และฝึกอ่านหนังสือด้วยตาข้างอ่อน ผ่านไป 8 เดือน สายตาดีขึ้นมาก และมุมตาเหล่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด”


รีวิว 5 – คุณแม่ของน้องปันปัน อายุ 6 ขวบ

“เราไม่รู้มาก่อนว่าลูกเป็น ตาเขในเด็ก จนคุณครูสังเกตว่าเวลาน้องมองกระดานจะหรี่ตาและเอียงหัวบ่อย ในขณะเดียวกัน ผลการเรียนเริ่มลดลง พอตรวจพบและเริ่มรักษาด้วยการใส่แว่นและทำ Vision Therapy 5 เดือน ก็เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน น้องอ่านหนังสือได้เร็วขึ้นและไม่เอียงหัวอีกต่อไป”


รีวิว 6 – คุณพ่อของน้องซันนี่ อายุ 3 ขวบ

“น้องซันนี่มี ตาเหล่ออก ชัดเจนตั้งแต่อายุ 2 ขวบ อย่างไรก็ตาม หลังจากพามาพบ จักษุแพทย์เด็ก คุณหมอแนะนำผ่าตัดพร้อมฝึกสายตาหลังผ่าตัด ปัจจุบันดวงตาตรงและสามารถมองเห็นภาพสามมิติได้ดีขึ้น”


รีวิว 7 – คุณแม่ของน้องใบเตย อายุ 8 ขวบ

“น้องใบเตยเป็น ตาเขในเด็ก แบบเป็น ๆ หาย ๆ นอกจากนี้ เวลามีแสงจ้า ตาจะเบี่ยงออก คุณหมอให้ใส่เลนส์ปริซึมร่วมกับฝึกกล้ามเนื้อตา ผ่านไป 6 เดือน ภาพซ้อนหายไป และน้องสามารถเล่นกีฬาที่ต้องใช้การกะระยะได้ดีขึ้น”


รีวิว 8 – คุณพ่อของน้องออโต้ อายุ 10 ขวบ

“ลูกชายมักมองเห็น ภาพซ้อน เวลาเล่นคอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือใกล้ ๆ ดังนั้น เราพาไปตรวจและพบว่าเป็น ตาเหล่ในเด็ก ระดับปานกลาง ใช้การฝึกสายตาร่วมกับเลนส์ปริซึม 1 ปีเต็ม ผลคือภาพซ้อนหายไปและการเรียนดีขึ้นมาก”


รีวิว 9 – คุณแม่ของน้องน้ำหนึ่ง อายุ 6 ขวบ

“น้องมี สายตาเอียง ร่วมกับ ตาเขเข้า ทำให้ไม่กล้าสบตากับเพื่อน ในขณะเดียวกัน มีปัญหาเรื่องการอ่านหนังสือ คุณหมอให้ใส่แว่นและฝึกสายตา 7 เดือน ตอนนี้น้องมีความมั่นใจขึ้นและเข้าร่วมกิจกรรมโรงเรียนได้เหมือนเพื่อน ๆ”


รีวิว 10 – คุณพ่อของน้องเรนนี่ อายุ 5 ขวบ

“เรนนี่มี ตาเขในเด็ก จากภาวะ สายตาสั้น แต่กำเนิด นอกจากนี้ ไม่เคยตรวจตาก่อนอายุ 4 ขวบ เมื่อรักษาด้วยการใส่แว่นและทำ Vision Therapy ผลคือการมองเห็นดีขึ้นอย่างมากและตาไม่เบี่ยงเหมือนเดิม”

ตาเขในเด็ก ตาเหล่ในเด็ก สายตาขี้เกียจ จักษุแพทย์เด็ก ตาเข ตาเหล่ ตาเขเข้า
ตาเขในเด็ก ตาเหล่ในเด็ก สายตาขี้เกียจ จักษุแพทย์เด็ก ตาเข ตาเหล่ ตาเขเข้า

สรุป

ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก เป็นภาวะความผิดปกติของการจัดเรียงแกนสายตาที่พบได้บ่อยในวัยเด็ก ซึ่งหมายความว่า ดวงตาทั้งสองข้างไม่สามารถทำงานประสานกันได้อย่างปกติ ส่งผลต่อทั้งการมองเห็นและพัฒนาการของเด็กในหลายด้าน ทั้งด้านการเรียน การเข้าสังคม และความมั่นใจในตนเอง

นอกจากนี้ ภาวะ ตาเข และ ตาเหล่ อาจมีสาเหตุหลากหลาย เช่น พันธุกรรม, ความผิดปกติของกล้ามเนื้อตา, ภาวะสายตาสั้น, สายตายาว, สายตาเอียง, โรคทางระบบประสาท หรือแม้กระทั่งปัจจัยที่เกิดขึ้นในช่วงแรกเกิด เช่น การคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนสามารถเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กเกิดภาวะตาเขและตาเหล่ได้

ในขณะเดียวกัน อาการและสัญญาณเตือนของ ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก อาจเริ่มจากสิ่งเล็กน้อย เช่น การเอียงหัว หรี่ตา ปิดตาข้างหนึ่ง การมองเห็นภาพซ้อน หรือมีปัญหาในการอ่านหนังสือ อาการเหล่านี้ผู้ปกครองอาจมองข้ามไป แต่แท้จริงแล้วเป็นสัญญาณสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษา อาจนำไปสู่ สายตาขี้เกียจ การมองเห็นสองตาผิดปกติ หรือแม้กระทั่งการสูญเสียการมองเห็นถาวร

ดังนั้น การวินิจฉัยที่แม่นยำและรวดเร็วเป็นหัวใจสำคัญ โดยควรเข้ารับ การตรวจตาเด็ก กับ จักษุแพทย์เด็ก เพื่อประเมินสภาพตาและการทำงานของดวงตาอย่างละเอียด การตรวจอาจประกอบด้วย การตรวจการมองเห็น, การทดสอบการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อตา, Cover Test, และการวัดมุมการเบี่ยงเบนด้วย Prism Test เพื่อนำข้อมูลมาวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม

วิธีการรักษา ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การใส่แว่นเพื่อแก้ไขสายตาผิดปกติ การปิดตาข้างดี (Patch Therapy) เพื่อกระตุ้นตาข้างอ่อนให้ทำงานมากขึ้น การทำกายภาพบำบัดสายตา (Vision Therapy) เพื่อฝึกประสาทการมองเห็นและความร่วมมือของตาทั้งสองข้าง การใช้เลนส์ปริซึม (Prism Lenses) เพื่อลดปัญหาภาพซ้อน ไปจนถึงการผ่าตัดกล้ามเนื้อตาในกรณีที่วิธีอื่นไม่ได้ผล อย่างไรก็ตาม การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และการตอบสนองของผู้ป่วย

ผลลัพธ์หลังการรักษามักจะดีขึ้นอย่างชัดเจนหากเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กสามารถฟื้นฟูการมองเห็นให้ใกล้เคียงปกติ ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้ การติดตามผลอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็น เพราะแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว ก็ยังมีโอกาสเกิดซ้ำได้ โดยเฉพาะในเด็กที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงหรือไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความตระหนักให้กับผู้ปกครองเกี่ยวกับปัญหา ตาเขในเด็ก และ ตาเหล่ในเด็ก เพราะการรับรู้และสังเกตตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที ลดโอกาสการเกิดปัญหาการมองเห็นถาวร และช่วยให้เด็กเติบโตพร้อมพัฒนาการทางสายตาที่สมบูรณ์

หากผู้ปกครองสงสัยว่าบุตรหลานอาจมีภาวะตาเขหรือตาเหล่ ควรรีบนัดหมาย จักษุแพทย์เด็ก เพื่อเข้ารับ การตรวจตาเด็ก อย่างละเอียดตั้งแต่วันนี้ เพราะการลงมือรักษาเร็ว คือกุญแจสำคัญสู่การมองเห็นที่ดีในอนาคตของลูก

Scroll to Top