มะเร็งปากมดลูก
หากคำถามนี้ทำให้คุณนิ่งคิดไปสักครู่ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณอาจกำลังละเลยหนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทยและทั่วโลกมากที่สุด — มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) มะเร็งปากมดลูก เป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่สามารถ ป้องกันได้มากที่สุด หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ และได้รับ การรักษา อย่างเหมาะสม ทว่าในทางตรงกันข้าม โรคนี้กลับยังคงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในสตรีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากหลายคนยังไม่เข้าใจความสำคัญของการ ตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก อย่างสม่ำเสมอ หรือไม่รู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกถึงทุกแง่มุมของ มะเร็งปากมดลูก ตั้งแต่ สาเหตุหลักอย่างไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ไปจนถึงการดูแลผู้ป่วยหลัง การรักษา พร้อมแนะนำแนวทางการ ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่มีประสิทธิภาพ เช่น การฉีด วัคซีน HPV, การตรวจ แปปสเมียร์ (Pap smear) และ การตรวจ HPV DNA ซึ่งสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะก่อนเป็นมะเร็ง
มะเร็งปากมดลูก: ไม่ใช่แค่โรคของผู้หญิงวัยกลางคน
หลายคนเข้าใจผิดว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่เกิดขึ้นในผู้หญิงสูงวัยเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไปก็ตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีคู่นอนหลายคน การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย หรือไม่เคยได้รับวัคซีน HPV มาก่อน
นอกจากนี้ การขาดการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง หรือความกลัวในการตรวจภายใน ก็ล้วนเป็นอุปสรรคที่ทำให้ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยละเลยการ ตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจพบโรคในระยะลุกลามที่มีโอกาสรักษาหายได้น้อยลง
การตรวจพบเร็วคือโอกาสรอดชีวิต
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า หากสามารถตรวจพบมะเร็งปากมดลูกตั้งแต่ระยะเริ่มต้น อัตราการรอดชีวิตจะสูงถึง 90% ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ การเข้ารับการ ตรวจคัดกรองเป็นประจำทุกปี จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาชีวิต และควรเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพประจำปีของผู้หญิงทุกคน
การตรวจ Pap smear และการตรวจ HPV DNA ต่างมีบทบาทสำคัญในการค้นหาความผิดปกติของเซลล์ในบริเวณ ปากมดลูก ก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็งเต็มรูปแบบ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาไม่นาน และไม่เจ็บอย่างที่หลายคนเข้าใจ
วัคซีน HPV: เกราะป้องกันที่ควรได้รับตั้งแต่วัยรุ่น
หนึ่งในก้าวสำคัญของการป้องกันโรคร้ายนี้ คือการฉีด วัคซีน HPV ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้กว่า 70–90% วัคซีนนี้แนะนำให้ฉีดในช่วงวัย 9–26 ปี และให้ผลดีที่สุดเมื่อฉีดก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้หญิงที่มีอายุเกินช่วงวัยดังกล่าว ก็ยังสามารถได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มเติม และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคในอนาคต
เป้าหมายของบทความนี้
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วนและน่าเชื่อถือเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก โดยเราจะพูดถึงหัวข้อสำคัญอย่างละเอียด อาทิ:
- สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก
- สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
- วิธีการตรวจคัดกรองที่ได้ผล
- ทางเลือกใน การรักษา และผลข้างเคียง
- แนวทางการป้องกันแบบองค์รวม
- ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้
- สถิติล่าสุดและแนวโน้มของโรคในประเทศไทย
เพื่อช่วยให้ผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพปากมดลูกอย่างถูกต้อง พร้อมทั้ง แนะนำให้ผู้หญิงไทยทุกคนเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
“คุณเคย ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”
หากคำถามนี้ทำให้คุณนิ่งไปสักครู่ นั่นอาจหมายความว่าคุณกำลังละเลยภัยเงียบที่อาจคุกคามชีวิตของผู้หญิงทั่วโลก — มะเร็งปากมดลูกมะเร็งปากมดลูก หรือที่เรียกกันในอีกหลายชื่อ เช่น มะเร็งเซอร์วิคัล (Cervical cancer), มะเร็งบริเวณปากมดลูก, มะเร็งมดลูกส่วนล่าง, โรคมะเร็งปากมดลูก และ มะเร็งมดลูกชนิดปากมดลูก ถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่คุกคามสุขภาพของผู้หญิงไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ปัจจุบันพบว่า สาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ส่วนใหญ่มาจาก การติดเชื้อ HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วย วัคซีน HPV และการ ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก อย่างสม่ำเสมอ เช่น การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) และ การตรวจ HPV DNA ซึ่งช่วยค้นหาความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

อาการของมะเร็งปากมดลูกในระยะแรกอาจไม่ชัดเจน แต่เมื่อเข้าสู่ระยะลุกลาม มักมีสัญญาณเตือนที่ชัดเจน เช่น เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ การวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อเพิ่มโอกาส การรักษา ให้หายขาด ซึ่งในปัจจุบันมีแนวทาง การรักษา หลายรูปแบบ เช่น การผ่าตัดมะเร็งปากมดลูก, ฉายรังสี, และ คีโมมะเร็งปากมดลูก ขึ้นอยู่กับ ระยะของมะเร็งปากมดลูก และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
นอกจากนี้ยังควรใส่ใจเรื่อง ผลข้างเคียงจาก การรักษา, การดูแลตัวเองหลังการรักษา รวมถึงโภชนาการที่เหมาะสม ซึ่งล้วนมีผลต่อ การฟื้นตัวหลัง การรักษา มะเร็ง และคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วย ทั้งนี้ผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญกับ การป้องกันมะเร็งปากมดลูก ด้วยการรับวัคซีน ตรวจภายในประจำปี และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพราะ มะเร็งปากมดลูกในหญิงไทย ยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ และอาจอันตรายถึงชีวิตหากปล่อยไว้โดยไม่รับการดูแลที่เหมาะสม
มะเร็งปากมดลูก คืออะไร
มะเร็งปากมดลูก (Cervical Cancer) คือภาวะที่เซลล์เยื่อบุบริเวณปากมดลูก ซึ่งเป็นส่วนล่างของมดลูกที่เชื่อมต่อกับช่องคลอด เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่วินิจฉัยหรือรักษาอย่างทันท่วงที ความผิดปกติดังกล่าวสามารถลุกลามไปสู่อวัยวะใกล้เคียงได้ ไม่ว่าจะเป็นกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ หรือแม้กระทั่งเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
โรคนี้จัดเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยในเพศหญิงทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ยังขาดแคลนการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ หรือไม่มีระบบคัดกรองโรคที่มีประสิทธิภาพ ประเทศไทยเองก็เคยประสบกับอัตราการป่วยที่สูง แต่ด้วยการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV และการส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ สถานการณ์จึงเริ่มดีขึ้นตามลำดับ
ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การป้องกัน และแนวทางการรักษามะเร็งปากมดลูกคือหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยงและความสูญเสียจากโรคร้ายนี้ และนี่คือเป้าหมายของบทความฉบับนี้ ที่จะพาคุณไปรู้จัก “มะเร็งปากมดลูก” อย่างรอบด้าน ครอบคลุมทุกแง่มุมที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้
สถิติ มะเร็งปากมดลูก ในโลก
ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำปี 2021 มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงมากถึง 342,000 รายทั่วโลกต่อปี โดยมีผู้ป่วยใหม่กว่า 600,000 ราย และที่น่ากังวลคือ ผู้ป่วยกว่า 90% มาจากประเทศรายได้ปานกลางและต่ำ ซึ่งสะท้อนว่าการป้องกันและการตรวจคัดกรองยังเข้าไม่ถึงผู้หญิงในกลุ่มประเทศเหล่านี้
ในหลายประเทศที่มีระบบวัคซีน HPV และการตรวจคัดกรองอย่างเป็นระบบ เช่น สหราชอาณาจักร ฟินแลนด์ หรือออสเตรเลีย อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูก ลดลงอย่างต่อเนื่องจนเกือบกลายเป็นโรคที่ “กำจัดได้” ภายใน 10–20 ปีข้างหน้า
สถานการณ์ มะเร็งปากมดลูก ในประเทศไทย
ในประเทศไทย มะเร็งปากมดลูก เคยเป็นมะเร็งอันดับ 1 ในผู้หญิงไทยในช่วงทศวรรษ 2530–2540 แต่จากความพยายามของภาครัฐในการผลักดันนโยบายการตรวจคัดกรอง เช่น โครงการตรวจ Pap smear ทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2532 และการนำวัคซีน HPV เข้ามาใช้ในระบบสาธารณสุขในช่วงทศวรรษ 2560 เป็นต้นมา ทำให้อัตราการเกิดโรคมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า ปัจจุบันมะเร็งปากมดลูก อยู่ในอันดับที่ 5 ของมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงไทย โดยมีผู้ป่วยใหม่ประมาณ 9,000 รายต่อปี หรือเฉลี่ย 1 คนทุก 60 นาที และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 4,700 รายต่อปี ซึ่งเท่ากับว่าในทุก ๆ 2 ชั่วโมงจะมีหญิงไทย 1 คนเสียชีวิตจากโรคนี้
นอกจากนี้ มะเร็งปากมดลูก ยังเป็นมะเร็งอันดับ 2 ในกลุ่มหญิงอายุ 15–44 ปี รองจากมะเร็งเต้านม ซึ่งถือเป็นกลุ่มวัยแรงงาน วัยสร้างครอบครัว และยังมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ
มะเร็งปากมดลูก: โรคที่ป้องกันได้ 100%
หนึ่งในจุดที่ทำให้มะเร็งปากมดลูกแตกต่างจากมะเร็งชนิดอื่น ๆ คือ “สามารถป้องกันได้เกือบ 100%” หากผู้หญิงได้รับวัคซีน HPV อย่างครบถ้วนในช่วงอายุที่เหมาะสม และเข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปากมดลูก สามารถลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้ถึง 70–90% ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน (2 สายพันธุ์, 4 สายพันธุ์ หรือ 9 สายพันธุ์) นอกจากนี้ การตรวจคัดกรองด้วยวิธี Pap smear หรือ HPV DNA Testing ยังสามารถตรวจพบความผิดปกติก่อนกลายเป็นมะเร็งได้ล่วงหน้าหลายปี ทำให้สามารถรักษาได้ง่ายและหายขาด
เหตุใดบทความนี้จึงสำคัญ?
หลายคนมองว่า “มะเร็ง” เป็นเรื่องไกลตัว โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหรือวัยทำงาน แต่ในความเป็นจริง มะเร็งปากมดลูกสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 20 ปีขึ้นไป และหากไม่ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก โอกาสรอดชีวิตก็จะลดลงตามลำดับ
บทความนี้จึงถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นคู่มือฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก ตั้งแต่สาเหตุ การป้องกัน การตรวจคัดกรอง อาการ การรักษา ไปจนถึงการดูแลหลังหายป่วย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้คุณ:
- เข้าใจความร้ายแรงของโรคนี้อย่างถ่องแท้
- เห็นความสำคัญของการตรวจคัดกรองและการฉีดวัคซีน
- ตัดสินใจวางแผนชีวิตอย่างมีสติ และป้องกันตนเองได้ตั้งแต่วันนี้
เป้าหมายของเรา: ทำให้ มะเร็งปากมดลูก หายไปจากสังคมไทย
องค์การอนามัยโลกได้ประกาศแผนระดับโลกเพื่อ “กำจัด มะเร็งปากมดลูก ” ภายในปี 2050 โดยตั้งเป้าหมายไว้ 3 ข้อหลักคือ:
- เด็กหญิง 90% ได้รับวัคซีน HPV ครบตามเกณฑ์ก่อนอายุ 15 ปี
- ผู้หญิง 70% ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างน้อย 1 ครั้งภายในอายุ 35 และอีกครั้งก่อนอายุ 45
- ผู้หญิงที่ตรวจพบโรคอย่างน้อย 90% ได้รับ การรักษา อย่างเหมาะสม
ประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา มีศักยภาพสูงที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชนอย่างคุณ
บทสรุป
มะเร็งปากมดลูก ไม่ใช่โรคที่ไม่มีทางรักษา และไม่ใช่โรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณได้รับความรู้ที่ถูกต้อง มีพฤติกรรมทางเพศอย่างปลอดภัย ตรวจสุขภาพเป็นประจำ และได้รับวัคซีน HPV อย่างเหมาะสม ก็สามารถป้องกันโรคร้ายนี้ได้ตลอดชีวิต
ในบทถัดไป เราจะพาคุณไปรู้จักกับ “HPV” สาเหตุอันดับหนึ่งของ มะเร็งปากมดลูก แบบเจาะลึก เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจป้องกันตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทที่ 2: HPV สาเหตุหลักของโรค มะเร็งปากมดลูก
HPV คืออะไร และเกี่ยวข้องกับ มะเร็งปากมดลูก อย่างไร?
HPV หรือ Human Papillomavirus คือเชื้อไวรัสที่ติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก โดยไม่จำเป็นต้องมีการสอดใส่ก็สามารถแพร่เชื้อได้
ในความเป็นจริง HPV เป็นเชื้อที่พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว โดยจากข้อมูลของ WHO พบว่า ผู้หญิงราว 80% จะติดเชื้อ HPV อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต แต่โดยมากร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เองภายใน 1–2 ปี หากภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เชื้อ HPV จะไม่หายไป และสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในปากมดลูก ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็งได้
สายพันธุ์ HPV ที่เกี่ยวข้องกับ มะเร็งปากมดลูก
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า HPV มีมากกว่า 200 สายพันธุ์ แต่สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่:
1. กลุ่มความเสี่ยงต่ำ (Low-risk HPV)
สายพันธุ์ในกลุ่มนี้มักก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ (genital warts) และไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น HPV-6 และ HPV-11
2. กลุ่มความเสี่ยงสูง (High-risk HPV)
เป็นกลุ่มที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่นำไปสู่การเกิด มะเร็งปากมดลูก รวมถึงมะเร็งชนิดอื่น ๆ เช่น มะเร็งช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ โดยสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดใน มะเร็งปากมดลูก คือ:
- HPV-16: เป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก ทั่วโลก (ประมาณ 50–60%)
- HPV-18: พบในประมาณ 10–20% ของผู้ป่วย
นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ความเสี่ยงสูงอื่น ๆ เช่น HPV-31, HPV-33, HPV-45, HPV-52, และ HPV-58 ซึ่งวัคซีนรุ่นใหม่ (9 สายพันธุ์) ได้ครอบคลุมการป้องกันเชื้อเหล่านี้แล้ว
กลไกการก่อมะเร็งของ HPV
เมื่อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูงเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณเยื่อบุปากมดลูก เชื้อจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในเซลล์เยื่อบุ ซึ่งหากไม่สามารถควบคุมหรือซ่อมแซมได้ เซลล์เหล่านี้จะกลายพันธุ์ และกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
การติดเชื้อเรื้อรังจาก HPV ทำให้เซลล์เกิดการแบ่งตัวผิดปกติ และไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งใช้เวลาในการเปลี่ยนจากภาวะปกติ → รอยโรคก่อนมะเร็ง → มะเร็งปากมดลูก ประมาณ 5–10 ปี ดังนั้น หากตรวจพบและรักษาได้ตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็ง การรักษาจะง่ายและหายขาดได้สูงถึง 100%
วิธีการแพร่เชื้อ HPV
HPV เป็นไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายมาก โดยวิธีการติดต่อหลัก คือ:
- การมีเพศสัมพันธ์ (รวมถึงปากและทวารหนัก)
- การสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศโดยตรง
- การใช้ของใช้ร่วมกัน เช่น sex toys โดยไม่ทำความสะอาด
- การคลอดลูก (แม่สามารถส่งต่อเชื้อให้ลูกได้ในบางกรณี)
ข้อสำคัญคือ ผู้ที่ติดเชื้อ HPV อาจไม่มีอาการใด ๆ เลย แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้
ผู้ชายก็เป็นพาหะของเชื้อ HPV
แม้ว่า “มะเร็งปากมดลูก” จะเกิดในผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็สามารถติดเชื้อ HPV และเป็นพาหะที่แพร่กระจายเชื้อสู่คู่ของตนได้โดยไม่รู้ตัว
ผู้ชายยังสามารถพัฒนาไปสู่:
- หูดที่อวัยวะเพศ
- มะเร็งองคชาติ
- มะเร็งทวารหนัก
- มะเร็งช่องปากหรือลำคอ
ดังนั้น การฉีดวัคซีน HPV ให้แก่ผู้ชายจึงถือเป็นกลยุทธ์ป้องกันโรคในระดับประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในประเทศที่มีนโยบายฉีดวัคซีนแบบ “เพศเป็นกลาง”
ปัจจัยที่ทำให้ HPV มีโอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งปากมดลูก
การติดเชื้อ HPV เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก จำเป็นต้องมีปัจจัยร่วมที่ส่งเสริม ได้แก่:
- การสูบบุหรี่
- มีคู่นอนหลายคน
- ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ร่วม (เช่น HIV, ซิฟิลิส)
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ (เช่น ในผู้ป่วย HIV หรือผู้ที่รับยากดภูมิ)
- การตั้งครรภ์หลายครั้ง (มากกว่า 3 ครั้ง)
การตรวจพบ HPV ไม่ใช่ประโยคตัดสิน
หากคุณตรวจพบว่าติดเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูง อย่าเพิ่งตกใจ เพราะกว่า 80% ของการติดเชื้อ HPV จะหายไปได้เองใน 1–2 ปี โดยเฉพาะในคนที่สุขภาพแข็งแรง
สิ่งสำคัญคือการติดตามผลการตรวจอย่างต่อเนื่อง และทำการตรวจเพิ่มเติมตามคำแนะนำของแพทย์ เช่นการทำ Colposcopy หรือ Biopsy เพื่อประเมินว่าเซลล์เยื่อบุปากมดลูกเริ่มผิดปกติหรือไม่
ข้อเท็จจริงที่ควรรู้เกี่ยวกับ HPV และมะเร็งปากมดลูก
- HPV เป็นไวรัสที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์
- วัคซีน HPV สามารถป้องกันได้ถึง 90% ของมะเร็งปากมดลูก
- การติดเชื้อ HPV ส่วนใหญ่หายไปเองโดยไม่จำเป็นต้องรักษา
- การตรวจคัดกรองเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรค
บทสรุป
HPV เป็นไวรัสที่มีบทบาทสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก การทำความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อนี้ รวมถึงการรู้จักสายพันธุ์ที่เสี่ยง วิธีการแพร่เชื้อ และปัจจัยส่งเสริมต่าง ๆ จะช่วยให้คุณตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนและตรวจคัดกรองเป็นประจำ
ในบทต่อไป เราจะลงลึกถึง “ปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก” ที่คุณควรหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HPV และลดโอกาสเกิดโรคในอนาคต
บทที่ 3: ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกที่คุณควรรู้
ทำไมการรู้จักปัจจัยเสี่ยงจึงสำคัญ?
แม้ว่าเชื้อ HPV จะเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ติดเชื้อจะพัฒนาไปสู่โรคมะเร็ง ความเสี่ยงในการเกิดโรคจะเพิ่มขึ้นเมื่อมี “ปัจจัยเสี่ยงร่วม” ซึ่งส่งผลให้เชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายได้นานขึ้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในระยะยาว
การรู้จักและหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นวิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพ และสามารถทำได้ทันทีในชีวิตประจำวัน
พฤติกรรมทางเพศที่เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
1. มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
ผู้หญิงที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ก่อนอายุ 17 ปี มีโอกาสติดเชื้อ HPV สูงกว่าคนที่เริ่มช้ากว่า เนื่องจากเซลล์บริเวณปากมดลูกยังไม่เจริญเต็มที่ จึงมีความไวต่อการติดเชื้อและการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
2. มีคู่นอนหลายคน หรือมีคู่นอนที่มีคู่นอนหลายคน
ยิ่งมีจำนวนคู่นอนมาก โอกาสรับเชื้อ HPV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ยิ่งเพิ่มขึ้นโดยตรง
3. ไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
แม้ถุงยางอนามัยจะไม่สามารถป้องกัน HPV ได้ 100% แต่ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ
การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
เชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์บางชนิดอาจทำให้ภูมิคุ้มกันในช่องคลอดอ่อนแอลง และเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้ HPV อยู่ในร่างกายได้นานขึ้น ได้แก่:
1. เชื้อ HIV / เอดส์
ผู้ป่วย HIV จะมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าคนทั่วไป ทำให้ร่างกายกำจัด HPV ได้ยากกว่า และมีแนวโน้มเกิดมะเร็งปากมดลูกในอัตราที่สูงกว่า 4–5 เท่า
2. โรคซิฟิลิส หนองในแท้ และคลามัยเดีย
การอักเสบเรื้อรังจากโรคเหล่านี้อาจกระตุ้นให้เซลล์ปากมดลูกเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น
บุหรี่: ตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
ผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าผู้ที่ไม่สูบถึง 2 เท่า เพราะสารพิษในบุหรี่จะไปสะสมในเมือกบริเวณปากมดลูก ก่อให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง และอาจส่งผลต่อความสามารถของเซลล์ในการซ่อมแซมตัวเองเมื่อถูกทำลายจากเชื้อ HPV
การเลิกบุหรี่จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก
ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
การที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อ HPV ได้ มักเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น:
- การใช้ยากดภูมิในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ
- โรคเรื้อรังบางชนิด เช่น เบาหวานรุนแรง
- ความเครียดเรื้อรัง นอนไม่พอ
- ภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามิน A, C, E และกรดโฟลิก
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกถี่กว่าคนทั่วไป
การตั้งครรภ์หลายครั้ง
งานวิจัยบางชิ้นพบว่าผู้หญิงที่เคยตั้งครรภ์มากกว่า 3 ครั้ง มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดมะเร็งปากมดลูก อาจเกิดจาก:
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์
- การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของปากมดลูก
- ภูมิคุ้มกันที่ลดลงในช่วงตั้งครรภ์
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้ไม่ได้สูงเท่าปัจจัยอื่น แต่ควรระวังเป็นพิเศษเมื่อมีปัจจัยเสี่ยงร่วม
การคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเป็นเวลานาน
ผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนต่อเนื่องนานเกิน 5 ปี อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดมะเร็งปากมดลูกเล็กน้อย ตามข้อมูลของ IARC (International Agency for Research on Cancer)
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงนี้สามารถกลับสู่ระดับปกติได้ภายใน 10 ปีหลังหยุดยา และไม่ได้หมายความว่ายาคุมกำเนิดทำให้เกิดมะเร็งโดยตรง แต่ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
พฤติกรรมไม่รักษาสุขอนามัย
การไม่รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ รวมถึงการสวนล้างช่องคลอดเป็นประจำ อาจทำลายจุลินทรีย์ชนิดดีในช่องคลอด และทำให้เยื่อบุช่องคลอดอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV และมะเร็งปากมดลูก
ปัจจัยทางพันธุกรรม
แม้มะเร็งปากมดลูกไม่ได้ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรงเหมือนมะเร็งเต้านมหรือรังไข่ แต่ก็มีงานวิจัยบางฉบับชี้ว่า หากมีญาติสายตรงเป็นมะเร็งปากมดลูก โอกาสเกิดโรคในตนเองอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (1.5–2 เท่า)
ข้อเท็จจริงที่ควรรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก
- การติดเชื้อ HPV โดยไม่มีปัจจัยเสี่ยงร่วม อาจไม่พัฒนาเป็นมะเร็ง
- การมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างพร้อมกันจะเพิ่มโอกาสเกิดมะเร็งสูงขึ้น
- แม้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลย ก็ยังควรฉีดวัคซีน HPV และตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
บทสรุป
การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูกเป็นเรื่องที่ทำได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศ การเลิกบุหรี่ การตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ หรือการฉีดวัคซีน HPV ทุกสิ่งเหล่านี้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
ในบทถัดไป เราจะลงลึกเรื่อง “อาการของมะเร็งปากมดลูกและสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม” เพื่อให้คุณสามารถสังเกตอาการได้แต่เนิ่น ๆ และเข้ารับการตรวจวินิจฉัยได้ทันเวลา
บทที่ 4: อาการของมะเร็งปากมดลูกและสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
อาการมะเร็งปากมดลูกในระยะแรก
มะเร็งปากมดลูกในระยะแรกมักไม่มีอาการที่ชัดเจน ผู้หญิงจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคจนกว่าจะถึงระยะที่ลุกลามมากขึ้นแล้ว จึงทำให้การตรวจคัดกรองมีความสำคัญมากในการตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงบางรายอาจมีอาการผิดปกติเล็กน้อย ซึ่งหากใส่ใจและไม่มองข้าม อาจช่วยให้ตรวจพบโรคได้เร็วขึ้น โดยอาการเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อย ได้แก่:
1. มีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ
- เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
- เลือดออกนอกช่วงรอบเดือน
- เลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน
แม้เลือดออกเล็กน้อยอาจดูไม่รุนแรง แต่ควรตรวจหาสาเหตุโดยเร็ว เพราะอาจเป็นสัญญาณของรอยโรคที่ปากมดลูก
2. ตกขาวผิดปกติ
- ปริมาณมากกว่าปกติ
- กลิ่นเหม็นผิดปกติ
- ลักษณะข้น เหลือง หรือปนเลือด
ตกขาวที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดควรได้รับการประเมินโดยแพทย์
3. เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
- อาการเจ็บลึกบริเวณอุ้งเชิงกราน
- เจ็บแสบในช่องคลอด
อาจเกิดจากก้อนเนื้อหรือรอยโรคบริเวณปากมดลูก
อาการมะเร็งปากมดลูกในระยะลุกลาม
เมื่อมะเร็งปากมดลูกลุกลามจากเยื่อบุผิวเข้าสู่เนื้อเยื่อและอวัยวะข้างเคียง อาการจะเด่นชัดมากขึ้น ได้แก่:
1. ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อยหรือหลัง
อาการปวดเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือหลังส่วนล่าง อาจเกิดจากเนื้องอกกดเบียดอวัยวะหรือเส้นประสาท
2. ปัสสาวะขัดหรือถ่ายอุจจาระลำบาก
มะเร็งที่ลุกลามอาจกดทับกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ หรือท่อไต ทำให้เกิด:
- ปัสสาวะขัด เจ็บ หรือเป็นเลือด
- ท้องผูกเรื้อรัง
- ปัสสาวะไม่ออกจากไต (hydronephrosis)
3. มีเลือดออกจากทวารหนักหรือปัสสาวะ
มักพบในระยะหลังที่เนื้อร้ายลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ หรือทวารหนัก
4. น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
เป็นอาการทั่วไปของผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระยะท้ายของโรค แสดงถึงร่างกายที่เริ่มตอบสนองต่อการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
อาการมะเร็งปากมดลูกในระยะสุดท้าย
ผู้ป่วยในระยะลุกลามมาก (Stage IV) อาจมีอาการชัดเจนและรุนแรง ได้แก่:
- ปวดกระดูกเชิงกรานหรือกระดูกสันหลัง
- ขาบวมจากการอุดตันของน้ำเหลือง (lymphedema)
- ภาวะโลหิตจางจากเลือดออกเรื้อรัง
- ไตวายเฉียบพลัน
- อาการทางระบบประสาทหากมีการแพร่กระจายไปสมอง
การรักษาในระยะนี้เน้นที่คุณภาพชีวิตและการประคับประคองอาการ
ความแตกต่างระหว่างอาการของมะเร็งปากมดลูกกับโรคอื่น
บางอาการของมะเร็งปากมดลูกอาจคล้ายกับภาวะอื่น ๆ เช่น:
- ปัสสาวะขัด: อาจเกิดจากโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ตกขาวผิดปกติ: อาจเกิดจากการติดเชื้อรา
- เจ็บท้องน้อย: อาจเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างคือ “อาการที่เป็นเรื้อรัง หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป” ซึ่งควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมโดยสูตินรีแพทย์
ทำไมผู้หญิงจำนวนมากถึงไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นมะเร็งปากมดลูก?
- ไม่มีอาการในระยะแรกเริ่ม
- ไม่ตรวจ Pap smear หรือ HPV DNA เป็นประจำ
- เข้าใจผิดว่าอาการผิดปกติเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ
- ไม่กล้าไปพบแพทย์ด้วยเรื่องทางเพศ
นี่คือเหตุผลสำคัญที่ต้องส่งเสริมการตรวจคัดกรองในระดับชุมชนและครอบครัว
คำแนะนำเมื่อพบอาการต้องสงสัย
หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรพบสูตินรีแพทย์ทันที:
- เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- ตกขาวเปลี่ยนกลิ่น/สี
- ปวดท้องน้อยเรื้อรัง
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจภายใน และพิจารณาส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น Pap smear, HPV DNA หรือ colposcopy เพื่อวินิจฉัยโรคอย่างชัดเจน
บทสรุป
อาการของมะเร็งปากมดลูกอาจดูไม่รุนแรงในระยะแรก แต่หากละเลย อาจลุกลามจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ความรู้ ความตระหนัก และความกล้าในการตรวจสอบร่างกายของตนเอง คือกุญแจสำคัญในการรักษาโรคนี้ให้ทันเวลา
ในบทถัดไป เราจะพูดถึง “วิธีตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
บทที่ 5: วิธีตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้
การตรวจคัดกรองคืออะไร?
การตรวจคัดกรอง (Screening) หมายถึงกระบวนการค้นหาความผิดปกติหรือสัญญาณของโรคในผู้ที่ยังไม่มีอาการใด ๆ โดยเฉพาะโรคที่มีระยะก่อนการเกิดโรคจริง เช่น มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในมะเร็งไม่กี่ชนิดที่สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะก่อนเป็นมะเร็ง (precancerous lesions) ซึ่งหากตรวจพบและรักษาในระยะนี้ โอกาสหายขาดเกือบ 100%
ประโยชน์ของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
- ตรวจพบรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งล่วงหน้า 3–10 ปี
- เพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาด
- ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ช่วยคัดกรองผู้ที่ติดเชื้อ HPV เสี่ยงสูงโดยยังไม่มีอาการ
วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่ใช้ในประเทศไทย
ประเทศไทยมีแนวทางการคัดกรองที่ครอบคลุม โดยใช้วิธีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ดังนี้:
1. การตรวจ Pap Smear
Pap Smear คืออะไร?
Pap Smear หรือชื่อเต็มว่า Papanicolaou test เป็นวิธีตรวจเซลล์เยื่อบุบริเวณปากมดลูกด้วยการเก็บเซลล์โดยใช้แปรงหรือลูกยาง แล้วส่งไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
ความถี่ในการตรวจ:
- เริ่มตรวจเมื่ออายุ 25 ปี หรือภายใน 3 ปีหลังมีเพศสัมพันธ์
- ตรวจทุก 2–3 ปี หากผลปกติ
- หยุดตรวจเมื่ออายุเกิน 65 ปี และมีผลปกติอย่างน้อย 5 ครั้งติดต่อกัน
ข้อดีของ Pap Smear:
- ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ก่อนเป็นมะเร็ง
- ค่าใช้จ่ายต่ำ
- ใช้ในระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UC) ได้
2. การตรวจ HPV DNA
HPV DNA Testing คืออะไร?
เป็นการตรวจหา “สารพันธุกรรมของไวรัส HPV” โดยตรง โดยเฉพาะสายพันธุ์เสี่ยงสูง เช่น HPV-16, 18 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปากมดลูก
ข้อดีของ HPV DNA Testing:
- แม่นยำสูงกว่าการตรวจ Pap เพียงอย่างเดียว
- ตรวจพบการติดเชื้อแม้ไม่มีความผิดปกติของเซลล์
- คัดกรองความเสี่ยงของโรคได้ก่อนเกิดอาการหลายปี
กลุ่มที่แนะนำให้ตรวจ:
- ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป
- ใช้ร่วมกับ Pap Smear เรียกว่า Co-testing (แนะนำตรวจทุก 5 ปี)
- หยุดตรวจเมื่ออายุเกิน 65 ปี และผลปกติ 2 ครั้งติดต่อกัน
3. การตรวจ VIA (Visual Inspection with Acetic Acid)
VIA คืออะไร?
เป็นการตรวจปากมดลูกด้วยสายตาโดยใช้กรดน้ำส้มเจือจาง (3–5%) หยดลงบนปากมดลูก หากมีรอยโรคหรือเซลล์ผิดปกติ บริเวณนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาวทันที
ข้อดีของ VIA:
- เหมาะกับพื้นที่ชนบทหรือสถานพยาบาลที่ไม่มีแล็บ
- ผลตรวจรู้ได้ทันที
- ค่าใช้จ่ายต่ำ
- เหมาะกับหญิงอายุ 30–50 ปีในชุมชนที่ยังไม่เข้าถึงการตรวจ Pap
เปรียบเทียบวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
วิธีการตรวจ | ความแม่นยำ | ค่าใช้จ่าย | เหมาะกับ | ผลลัพธ์ใช้เวลา |
Pap Smear | ปานกลาง | ต่ำ | หญิงทุกคนอายุ 25–65 ปี | 1–2 สัปดาห์ |
HPV DNA | สูงมาก | ปานกลางถึงสูง | หญิงอายุ 30+ ปี | 1–2 สัปดาห์ |
VIA | ปานกลาง | ต่ำมาก | หญิงในชนบทอายุ 30–50 ปี | ทันที |
คำแนะนำก่อนเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจ 24–48 ชั่วโมง
- ไม่ควรตรวจขณะมีประจำเดือน
- ห้ามสวนล้างช่องคลอดหรือใช้ยาทาภายใน 48 ชั่วโมงก่อนตรวจ
- แนะนำตรวจช่วง 10–20 ของรอบเดือน
หากผลตรวจพบความผิดปกติควรทำอย่างไร?
- ผลปกติ (Negative): นัดตรวจตามรอบปกติ
- ผลผิดปกติเล็กน้อย (ASC-US, LSIL): อาจตรวจซ้ำใน 6–12 เดือน หรือทำ HPV DNA
- ผลผิดปกติระดับสูง (HSIL, CIN2/3): ต้องทำ colposcopy หรือตัดชิ้นเนื้อตรวจเพิ่มเติม
- พบการติดเชื้อ HPV เสี่ยงสูง: อาจติดตามใกล้ชิดหรือตรวจซ้ำหลัง 12 เดือน
บริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในไทย
- โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ: ให้บริการฟรีปีละ 1 ครั้งแก่หญิงอายุ 30–60 ปี
- คลินิกมิตรภาพ และ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
- โรงพยาบาลเอกชน: มีโปรแกรมตรวจสุขภาพหญิงที่รวมการตรวจ Pap/HPV
สามารถติดต่อสายด่วน 1422 ของกรมอนามัย หรือเว็บไซต์ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เพื่อค้นหาหน่วยบริการใกล้บ้าน
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
- การตรวจ Pap Smear ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 80%
- การตรวจ HPV DNA มีความแม่นยำในการคัดกรองสูงถึง 95%
- การตรวจ VIA เหมาะกับพื้นที่ชนบทและช่วยขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพ
บทสรุป
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นการลงทุนสุขภาพที่คุ้มค่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่สามารถป้องกันชีวิตคุณไว้ได้ การเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมกับช่วงอายุและประวัติสุขภาพจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโรคแต่เนิ่น ๆ
ในบทถัดไป เราจะเจาะลึกเรื่อง “วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ได้ผลจริง” ซึ่งครอบคลุมเรื่องพฤติกรรมส่วนตัวและวัคซีน HPV
บทที่ 6: วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ได้ผลจริง
ทำไมการป้องกันมะเร็งปากมดลูกจึงเป็นสิ่งที่ควรเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้?
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่ป้องกันได้ง่ายกว่าที่หลายคนคิด หากได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV และตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ โอกาสในการเกิดโรคสามารถลดลงได้ถึง 90% นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้คุณห่างไกลจากมะเร็งปากมดลูกอย่างยั่งยืน
ป้องกันมะเร็งปากมดลูกด้วยการฉีดวัคซีน HPV
วัคซีน HPV คืออะไร?
วัคซีน HPV (Human Papillomavirus Vaccine) เป็นวัคซีนที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อเชื้อ HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก เช่น HPV-16 และ HPV-18 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกว่า 70% ทั่วโลก
ประเภทของวัคซีน HPV:
- วัคซีน 2 สายพันธุ์ (Cervarix): ป้องกัน HPV-16 และ 18
- วัคซีน 4 สายพันธุ์ (Gardasil): ป้องกัน HPV-6, 11, 16, 18
- วัคซีน 9 สายพันธุ์ (Gardasil 9): ป้องกัน HPV-6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52 และ 58
ประสิทธิภาพ:
- วัคซีน 2 และ 4 สายพันธุ์: ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70%
- วัคซีน 9 สายพันธุ์: ป้องกันได้สูงถึง 90%
ใครควรฉีด?
- เด็กหญิงอายุ 9–14 ปี: ได้รับประสิทธิภาพสูงสุด (ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์)
- ผู้หญิงอายุ 15–26 ปี: ยังสามารถฉีดได้ โดยต้องฉีด 3 เข็ม
- ผู้ชายอายุ 9–26 ปี: ควรฉีดเพื่อป้องกันการเป็นพาหะ และลดความเสี่ยงของมะเร็งช่องปาก/ทวารหนัก
- ผู้หญิงอายุ 27–45 ปี: ปรึกษาแพทย์ก่อนฉีด เนื่องจากประสิทธิภาพอาจลดลง
ตารางการฉีดวัคซีน:
- อายุ 9–14 ปี: 2 เข็ม (0, 6 เดือน)
- อายุ 15 ปีขึ้นไป: 3 เข็ม (0, 1–2, 6 เดือน)
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
1. ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์
แม้ไม่สามารถป้องกัน HPV ได้ 100% แต่สามารถลดโอกาสสัมผัสเชื้อได้มากกว่า 70% และยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย
2. ลดจำนวนคู่นอน
ผู้หญิงที่มีคู่นอนหลายคน หรือมีคู่นอนที่มีคู่นอนหลายคน มีโอกาสติดเชื้อ HPV สูงกว่าคนที่มีคู่นอนเพียงคนเดียว
3. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
เนื่องจากเซลล์บริเวณปากมดลูกยังไม่พัฒนาเต็มที่ ความเสี่ยงของการติดเชื้อและเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จึงสูงกว่าช่วงอายุที่เหมาะสม
4. งดสูบบุหรี่
สารพิษจากบุหรี่สามารถสะสมในเยื่อบุปากมดลูก ทำให้เซลล์ไวต่อการกลายพันธุ์เมื่อสัมผัสกับเชื้อ HPV
5. รักษาสุขอนามัยของอวัยวะเพศ
การทำความสะอาดที่ถูกวิธี และหลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอดบ่อยเกินไป จะช่วยให้จุลินทรีย์ที่ดีในช่องคลอดทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การป้องกันมะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ
แม้ฉีดวัคซีนแล้ว ยังจำเป็นต้องตรวจคัดกรอง เพราะวัคซีนไม่ครอบคลุมสายพันธุ์ทั้งหมด
ตารางแนะนำ:
- Pap smear: ทุก 2–3 ปี เริ่มตั้งแต่อายุ 25 ปี
- HPV DNA Testing: ทุก 5 ปี ตั้งแต่อายุ 30 ปี
- หยุดตรวจได้เมื่ออายุ 65 ปี หากผลปกติอย่างน้อย 2–5 ครั้ง
การป้องกันแบบองค์รวม: แนวคิด 3 ขั้นตอน
- Primary Prevention (การป้องกันขั้นต้น):
- ฉีดวัคซีน HPV
- ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา
- ส่งเสริมพฤติกรรมปลอดภัย
- ฉีดวัคซีน HPV
- Secondary Prevention (การป้องกันขั้นที่สอง):
- ตรวจ Pap smear, HPV DNA
- ตรวจพบรอยโรคก่อนมะเร็งแล้วรักษา
- ตรวจ Pap smear, HPV DNA
- Tertiary Prevention (การป้องกันขั้นที่สาม):
- การรักษาโรคให้หาย
- การฟื้นฟูคุณภาพชีวิต
- การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
- การรักษาโรคให้หาย
บทบาทของภาครัฐไทยในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก
- โครงการฉีดวัคซีน HPV ในเด็กหญิง ป.5 ทั่วประเทศ
- บริการตรวจ Pap smear ฟรี สำหรับหญิงไทยอายุ 30–60 ปี ปีละ 1 ครั้ง
- รณรงค์ความรู้เรื่องมะเร็งปากมดลูกในระดับชุมชน
คำแนะนำสำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง
- ตรวจคัดกรองบ่อยกว่าคนทั่วไป
- ปรึกษาแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีนแม้อายุเกินเกณฑ์
- ตรวจสุขภาพประจำปี และสังเกตอาการผิดปกติ
- หากมีผลตรวจผิดปกติ ควรติดตามผลต่อเนื่องอย่างเคร่งครัด
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการป้องกัน มะเร็งปากมดลูก
- วัคซีน HPV ป้องกัน มะเร็งปากมดลูกได้ถึง 90%
- การตรวจ Pap smear เป็นประจำ ช่วยลดอัตราเสียชีวิตจากโรคได้ถึง 80%
- การมีพฤติกรรมปลอดภัยทางเพศคือเกราะป้องกันสำคัญ
- มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถ “กำจัดได้” ในระดับประชากร
บทสรุป
การป้องกัน มะเร็งปากมดลูก ไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณเริ่มต้นจากการดูแลตัวเอง ตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ และฉีดวัคซีน HPV ตามช่วงวัยที่เหมาะสม คุณก็สามารถลดความเสี่ยงได้เกือบทั้งหมด และสร้างความมั่นใจในสุขภาพระยะยาว
ในบทถัดไป เราจะพาคุณไปรู้จักกับ “แนวทางรักษา มะเร็งปากมดลูก ในแต่ละระยะ” ตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็งไปจนถึงระยะลุกลาม พร้อมตัวเลือกการรักษาที่เหมาะสมในแต่ละกรณี
บทที่ 7: แนวทางรักษา มะเร็งปากมดลูก ในแต่ละระยะ
ทำไมการวินิจฉัยระยะของ มะเร็งปากมดลูก จึงสำคัญ?
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการประเมินว่าโรคอยู่ใน “ระยะใด” เพราะการรักษามะเร็งปากมดลูกในแต่ละระยะจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในแง่ของวิธีการ โอกาสหายขาด และผลกระทบต่ออวัยวะสืบพันธุ์
การรักษาที่เหมาะสมในระยะต้นสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม โดยอัตรารอดชีวิต 5 ปีมากกว่า 90% ขณะที่ในระยะลุกลาม การรักษาอาจเน้นคุณภาพชีวิตและการประคองอาการมากกว่า
การแบ่งระยะของ มะเร็งปากมดลูก
องค์การอนามัยโลก (FIGO Staging) แบ่งมะเร็งปากมดลูกออกเป็น 4 ระยะหลัก:
- ระยะ 0: ระยะก่อนมะเร็ง (Carcinoma in situ – CIS)
- ระยะ I: มะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะที่ปากมดลูก
- ระยะ II: ลุกลามออกนอกปากมดลูก แต่ยังไม่ถึงผนังเชิงกราน
- ระยะ III: ลุกลามถึงผนังเชิงกราน/ช่องคลอดส่วนล่าง หรือทำให้ไตบวมหรือไตวาย
- ระยะ IV: ลุกลามไปอวัยวะข้างเคียงหรือแพร่กระจายไปส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ปอด ตับ สมอง
การรักษามะเร็งปากมดลูกระยะก่อนมะเร็ง (CIN/CIS)
แนวทางการรักษา:
- การเฝ้าระวัง (Watchful Waiting): สำหรับรอยโรค CIN1 ซึ่งมักหายเองใน 1–2 ปี
- การจี้เย็น (Cryotherapy): ทำลายเซลล์ผิดปกติด้วยความเย็นจัด
- การตัดเยื่อบุปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า (LEEP): ตัดเนื้อเยื่อผิดปกติออก
- การตัดปากมดลูกแบบลิ่ม (Conization): สำหรับกรณีรอยโรคลึกหรือสงสัยเป็น CIS
โอกาสหายขาด: เกือบ 100% หากติดตามต่อเนื่อง
การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ I
ตัวเลือกการรักษาหลัก:
- การผ่าตัดมดลูก (Hysterectomy):
- สำหรับระยะ IA หรือ IB ขนาดเล็ก (<2 ซม.)
- หากยังต้องการมีบุตร อาจพิจารณา Trachelectomy (ตัดเฉพาะปากมดลูก)
- สำหรับระยะ IA หรือ IB ขนาดเล็ก (<2 ซม.)
- การผ่าตัดร่วมกับการฉายแสง (Radical Surgery + Radiotherapy):
- กรณีเนื้องอกขนาดใหญ่กว่า 2 ซม. หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต
- กรณีเนื้องอกขนาดใหญ่กว่า 2 ซม. หรือมีต่อมน้ำเหลืองโต
- การฉายแสงร่วมกับเคมีบำบัด (CCRT):
- หากไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือมีข้อจำกัดทางการแพทย์
- หากไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือมีข้อจำกัดทางการแพทย์
อัตรารอดชีวิต 5 ปี: 80–95%
การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ II
เมื่อโรคลุกลามเกินปากมดลูก แต่ยังไม่ถึงผนังเชิงกราน
วิธีรักษาหลัก:
- การฉายแสงร่วมเคมีบำบัด (Concurrent Chemoradiation Therapy – CCRT):
- ใช้รังสีภายนอก + ใส่แร่ (brachytherapy) ร่วมกับเคมีบำบัด (cisplatin)
- ใช้รังสีภายนอก + ใส่แร่ (brachytherapy) ร่วมกับเคมีบำบัด (cisplatin)
เป้าหมาย: ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง, ลดอาการ, และเพิ่มอัตรารอดชีวิต
อัตรารอดชีวิต 5 ปี: 65–80% ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง
การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ III
เมื่อตรวจพบว่าเนื้องอกลุกลามถึงผนังเชิงกรานหรือช่องคลอดส่วนล่าง หรือมีผลกระทบต่อไต
วิธีรักษาหลัก:
- CCRT เป็นแนวทางหลัก: เนื่องจากผ่าตัดไม่สามารถนำก้อนมะเร็งออกได้หมด
- การใส่สายเบี่ยงทางเดินปัสสาวะ (Nephrostomy): ในรายที่มีไตวายจากท่อไตอุดตัน
เป้าหมาย: ประคองอวัยวะ, ควบคุมการลุกลาม, และเพิ่มคุณภาพชีวิต
อัตรารอดชีวิต 5 ปี: 30–50%
การรักษา มะเร็งปากมดลูก ระยะที่ IV
ระยะสุดท้ายที่มะเร็งแพร่ไปยังกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ ปอด ตับ หรือสมอง
การรักษาแบบประคับประคอง:
- เคมีบำบัดเดี่ยวหรือผสมผสาน: เพื่อชะลอการแพร่กระจาย
- การใช้ยาต้านภูมิคุ้มกันใหม่ (Immunotherapy): สำหรับบางราย
- การดูแลประคับประคอง (Palliative Care): ควบคุมอาการเจ็บปวด อาการจากมะเร็ง และภาวะแทรกซ้อน
เป้าหมาย: คุณภาพชีวิตและความสบายในช่วงท้ายของชีวิต
อัตรารอดชีวิต 5 ปี: ต่ำกว่า 20%
ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกแนวทางรักษา มะเร็งปากมดลูก
- ระยะของโรค (Stage)
- อายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
- ความต้องการมีบุตรในอนาคต
- ขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง
- การลุกลามของเซลล์มะเร็งไปต่อมน้ำเหลือง
- ความพร้อมของอุปกรณ์และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การติดตามหลังการรักษา มะเร็งปากมดลูก
- ตรวจภายในและ Pap smear ทุก 3–6 เดือนใน 2 ปีแรก
- ตรวจ HPV DNA เป็นระยะหลังการรักษา
- ตรวจ PET/CT Scan หากมีอาการต้องสงสัยการกลับมาเป็นซ้ำ
- ดูแลสภาพจิตใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยต่อเนื่อง
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรักษา มะเร็งปากมดลูก
- มะเร็งปากมดลูก รักษาหายขาดได้หากพบในระยะต้น
- ผู้ป่วยในระยะก่อนมะเร็งมีโอกาสหายสูงถึง 100%
- การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยระยะของโรคมีผลต่อการวางแผนการรักษาอย่างมาก
- การติดตามผลหลังการรักษามีความสำคัญไม่แพ้การรักษา
บทสรุป
การรักษา มะเร็งปากมดลูก มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระยะของโรคและความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคน การตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นคือกุญแจสำคัญที่ทำให้สามารถรักษาหายขาดได้ และช่วยรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว
ในบทถัดไป เราจะกล่าวถึง “การติดตามผลหลังรักษา มะเร็งปากมดลูก ” ซึ่งเป็นขั้นตอนที่หลายคนมองข้ามแต่มีความสำคัญต่อการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
บทที่ 8: การติดตามผลหลังรักษา มะเร็งปากมดลูก
ทำไมการติดตามผลหลังรักษา มะเร็งปากมดลูก จึงสำคัญ?
การรักษา มะเร็งปากมดลูก ไม่ได้จบลงหลังออกจากโรงพยาบาลหรือสิ้นสุดเคมีบำบัด แต่กระบวนการฟื้นฟูและ การติดตามผลหลังรักษา คือหัวใจสำคัญของการควบคุมโรคอย่างถาวร
ผู้ที่ผ่านการรักษาแล้วอาจเผชิญกับความเสี่ยงต่าง ๆ ได้แก่:
- การกลับมาเป็นซ้ำของโรค
- ผลข้างเคียงระยะยาวจากการรักษา
- ปัญหาทางจิตใจ เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล
- ปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์และการมีบุตร
ดังนั้น การมีระบบติดตามผลที่ต่อเนื่องจะช่วยตรวจพบปัญหาเหล่านี้แต่เนิ่น ๆ และให้การดูแลที่เหมาะสม
ตารางการติดตามผลหลังรักษา มะเร็งปากมดลูก
ปีที่ 1–2 หลังรักษา:
- ตรวจร่างกายและตรวจภายในทุก 3–6 เดือน
- อาจตรวจ Pap smear และ HPV DNA หากจำเป็น
- ประเมินอาการผิดปกติที่อาจบ่งบอกการกลับมาเป็นซ้ำ เช่น เลือดออก ตกขาวผิดปกติ เจ็บท้องน้อย
ปีที่ 3–5:
- ตรวจทุก 6–12 เดือน
- หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน อาจตรวจ Pap smear ทุกปี
หลัง 5 ปี:
- ตรวจทุกปีต่อเนื่อง โดยพิจารณาตามอายุ สุขภาพโดยรวม และแนวโน้มโรคกลับมาเป็นซ้ำ
วิธีการตรวจติดตามโรคหลังการรักษา มะเร็งปากมดลูก
1. การตรวจภายใน (Pelvic Examination)
- ใช้มือคลำตรวจดูว่ามีก้อนหรือความผิดปกติในมดลูก ปากมดลูก ช่องคลอด หรือบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือไม่
2. Pap smear และ HPV DNA
- ช่วยประเมินว่ามีเซลล์ผิดปกติหลงเหลือหรือกลับมาใหม่หรือไม่
- อาจใช้ร่วมกับ colposcopy (ส่องกล้องขยาย) หากพบความผิดปกติ
3. Imaging (CT scan, MRI, PET/CT)
- ใช้ในกรณีสงสัยการกลับมาเป็นซ้ำในอวัยวะภายใน
- PET/CT มีความแม่นยำสูงในการระบุเซลล์มะเร็งที่ซ่อนอยู่
การติดตามผลด้านจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วย
ผู้ป่วยจำนวนมากเผชิญกับภาวะทางจิตใจหลังการรักษา ได้แก่:
- ซึมเศร้า วิตกกังวล
- กลัวโรคกลับมา
- ความรู้สึกสูญเสียตัวตนหรือความเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่ตัดมดลูก
แนวทางดูแล:
- สนับสนุนทางจิตใจโดยครอบครัว
- เข้าร่วมกลุ่มผู้ป่วยที่เคยมีประสบการณ์คล้ายกัน
- ปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์หากมีอาการรุนแรง
ปัญหาทางเพศและการวางแผนมีบุตรหลังรักษา มะเร็งปากมดลูก
1. การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย:
- ช่องคลอดแห้ง เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ (ผลข้างเคียงจากฉายแสง)
- ขาดฮอร์โมนเพศหญิงหากตัดรังไข่
- สูญเสียปากมดลูกหรือมดลูก ส่งผลต่อการตั้งครรภ์
2. แนวทางแก้ไข:
- ใช้สารหล่อลื่นหรือฮอร์โมนเฉพาะที่
- ปรึกษาแพทย์ด้านเวชศาสตร์เจริญพันธุ์
- วางแผน “ฝากไข่” ก่อนรักษาหากต้องการมีลูกในอนาคต
การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของ มะเร็งปากมดลูก
แม้รักษาแล้ว ผู้ป่วยยังมีความเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำได้ในช่วง 2–5 ปีแรก
วิธีลดความเสี่ยง:
- ไม่ขาดนัดตรวจตามแผน
- รักษาสุขภาพให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง
- งดสูบบุหรี่
- มีพฤติกรรมทางเพศปลอดภัย
- แจ้งแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมหลังหายจาก มะเร็งปากมดลูก
ด้านร่างกาย:
- ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- พักผ่อนเพียงพอ
ด้านจิตใจ:
- ปล่อยวางความกังวล
- ฝึกสมาธิ หรือกิจกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจ
- เขียนไดอารี่สุขภาพ
ด้านสังคม:
- กลับเข้าสู่กิจกรรมปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- ไม่เก็บตัว ไม่ปิดกั้นตัวเอง
- เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ของผู้ป่วยที่ผ่านมะเร็งได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการติดตามผล มะเร็งปากมดลูก
Q: รักษาหายแล้ว ต้องตรวจไปตลอดชีวิตหรือไม่?
A: โดยทั่วไปตรวจต่อเนื่อง 5 ปีแรกถี่ แล้วเว้นปีหลังจากนั้น แต่ขึ้นกับความเสี่ยงส่วนบุคคล
Q: หากพบเชื้อ HPV อีกหลังรักษา หมายถึงมะเร็งกลับมาหรือไม่?
A: ไม่เสมอไป ต้องดูว่าติดซ้ำใหม่หรือเหลือค้างเดิม ต้องตรวจซ้ำ/ติดตามผล
Q: สามารถมีลูกได้ไหมหลังการรักษา มะเร็งปากมดลูก?
A: ขึ้นกับชนิดการรักษา หากตัดเฉพาะปากมดลูกอาจมีลูกได้ แต่หากตัดมดลูกแล้วไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
บทสรุป
การติดตามผลหลังรักษา มะเร็งปากมดลูก คือเสาหลักที่ช่วยป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ การดูแลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และชีวิตทางสังคมควรดำเนินไปพร้อมกัน
ในบทถัดไป เราจะนำเสนอ “กรณีศึกษาและงานวิจัยเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก ในประเทศไทย” เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์จริงและความก้าวหน้าทางการแพทย์
บทที่ 9: กรณีศึกษาและงานวิจัยเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก ในประเทศไทย
ความสำคัญของการศึกษากรณีจริงเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก
การศึกษาจากประสบการณ์จริงและข้อมูลเชิงวิจัยถือเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใจโรค มะเร็งปากมดลูก อย่างลึกซึ้ง ทั้งในมุมมองของผู้ป่วย การวินิจฉัย การรักษา รวมถึงผลกระทบระยะยาวต่อชีวิต
ประเทศไทยมีการดำเนินโครงการและการวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับโรคนี้ ทั้งในระดับกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ และมหาวิทยาลัย โดยเน้นเป้าหมายในการลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจาก มะเร็งปากมดลูก ให้ได้มากที่สุด
กรณีศึกษา: ผู้หญิงไทยที่เอาชนะ มะเร็งปากมดลูก
“พี่อ้อย” หญิงวัย 38 ปีจากสุพรรณบุรี
“ฉันไม่เคยตรวจภายในเลยในชีวิต กระทั่งมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ติดต่อกัน 2 ครั้ง…ตอนนั้นใจเสียมาก”
พี่อ้อยตรวจพบ มะเร็งปากมดลูก ระยะ IB โดยแพทย์แนะนำให้ผ่าตัดมดลูกและรักษาด้วยรังสีร่วมเคมีบำบัด หลังจากผ่านการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี เธอกลับมามีสุขภาพแข็งแรง และกลายเป็นอาสาสมัครให้ความรู้กับผู้หญิงในชุมชนเกี่ยวกับความสำคัญของการตรวจ Pap smear
บทเรียนจากกรณีนี้:
- การเพิกเฉยต่ออาการผิดปกติอาจทำให้ตรวจพบโรคช้า
- หากพบเร็ว การรักษาหายขาดมีโอกาสสูง
- ความตระหนักรู้ของคนในชุมชนช่วยลดความกลัวในการตรวจ
งานวิจัยเด่นเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก ในไทย
1. โครงการฉีดวัคซีน HPV ในเด็กหญิงชั้น ป.5
ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับองค์การเภสัชกรรม เริ่มต้นปี 2560 ครอบคลุมโรงเรียนรัฐบาลทั่วประเทศ
ผลลัพธ์เบื้องต้น:
- อัตราการรับวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายเกิน 90%
- ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน
- ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันสูงในกลุ่มเด็กหญิงอายุ 9–12 ปี
2. การวิจัยเปรียบเทียบ Pap smear vs HPV DNA Testing
โดย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2563)
สรุปผล:
- HPV DNA มีความไวในการตรวจพบเซลล์ผิดปกติสูงกว่าถึง 1.5 เท่า
- เหมาะกับการใช้ร่วมกับ Pap smear (co-testing) เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- เสนอให้ขยายบริการ HPV DNA Testing ไปยังโรงพยาบาลรัฐระดับอำเภอ
3. การศึกษาการใช้ VIA กับกลุ่มหญิงในชนบท
ดำเนินการโดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี
ประเด็นวิจัย:
- ประเมินความแม่นยำของ VIA ในพื้นที่ห่างไกล
- การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้สามารถตรวจเบื้องต้นได้
ผลลัพธ์:
- พบว่า VIA มีความแม่นยำในระดับที่ยอมรับได้ในพื้นที่ไม่มีห้องแล็บ
- มีผลบวกเทียม (false positive) บ้าง แต่ยังดีกว่าไม่ตรวจเลย
- ได้ผลลัพธ์เร็ว และสามารถส่งต่อผู้ป่วยเข้าสู่ระบบรักษาได้รวดเร็ว
แนวโน้มและนวัตกรรมด้านการวิจัย มะเร็งปากมดลูก
1. การวิจัยวัคซีนชนิดใหม่
มีความพยายามในการพัฒนา “วัคซีน HPV ชนิดกิน” หรือชนิดพ่นจมูก เพื่อเพิ่มการเข้าถึงในกลุ่มเด็กชาย/หญิงที่กลัวเข็ม
2. การใช้ AI วิเคราะห์ผล Pap smear
ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยหลายแห่ง มีการวิจัยนำระบบ AI มาช่วยคัดกรองเซลล์ผิดปกติจากภาพกล้องจุลทรรศน์ เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดภาระของพยาธิแพทย์
3. การทดสอบ HPV ด้วยตัวเอง (Self-sampling)
มีงานวิจัยนำร่องให้ผู้หญิงเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งด้วยตนเอง โดยพบว่า:
- ผู้หญิงรู้สึกอาย/กลัวน้อยลง
- การเก็บตัวอย่างมีความแม่นยำใกล้เคียงกับการเก็บโดยแพทย์
- ส่งผลให้อัตราการเข้ารับการตรวจสูงขึ้น
ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมของผู้หญิงไทย
รายงานจาก สสส. (2564):
- ผู้หญิงไทย 47% ไม่เคยตรวจ Pap smear
- 1 ใน 5 เชื่อว่า “ตรวจแล้วจะเจ็บ” หรือ “ไม่กล้า”
- 69% ไม่ทราบว่าวัคซีน HPV ป้องกัน มะเร็งปากมดลูก ได้
- กลุ่มอายุ 30–45 ปี คือกลุ่มที่มีอัตราการตรวจต่ำที่สุด
แนวทางแก้ไข:
- รณรงค์ความรู้แบบเข้าใจง่ายในสื่อโซเชียล
- สนับสนุนโครงการ “ตรวจฟรี” ผ่าน อบต./รพ.สต.
- ใช้โรงเรียนและชุมชนเป็นฐานเผยแพร่ความรู้
ผลกระทบเชิงบวกจากโครงการวิจัยและนโยบาย
- อัตราการป่วยจาก มะเร็งปากมดลูก ลดลงจาก 23.4 → 11.3 ต่อประชากร 100,000 คน (ปี 2532 → 2564)
- การตรวจคัดกรองด้วย VIA และ Pap smear เพิ่มขึ้นในระดับชุมชน
- อัตราการฉีดวัคซีน HPV เพิ่มขึ้นในกลุ่มเป้าหมาย ป.5 ทั่วประเทศ
- ผู้หญิงในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงการวินิจฉัยเร็วขึ้นและรับการรักษาทันท่วงที
บทสรุป
งานวิจัยและกรณีศึกษาต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า มะเร็งปากมดลูก สามารถควบคุมและลดอัตราการเสียชีวิตได้จริง หากมีความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชน
ในบทถัดไป เราจะรวบรวม “คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก ” เพื่อเคลียร์ข้อสงสัยสำคัญที่หลายคนยังเข้าใจคลาดเคลื่อน
บทที่ 10: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก
Q1: มะเร็งปากมดลูก เกิดจากอะไร?
A: มะเร็งปากมดลูก ส่วนใหญ่ (>90%) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งสามารถทำให้เซลล์ปากมดลูกเปลี่ยนแปลงและกลายเป็นมะเร็งได้ในเวลาหลายปี โดยส่วนใหญ่เชื้อนี้จะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์
Q2: การติดเชื้อ HPV ต้องแสดงอาการหรือไม่?
A: ไม่จำเป็นต้องมีอาการ ผู้หญิงจำนวนมากติดเชื้อ HPV โดยไม่รู้ตัว และเชื้ออาจหายเองใน 1–2 ปี แต่หากเชื้อยังคงอยู่ในร่างกายนานเกินไป โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจนำไปสู่การกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้
Q3: การฉีดวัคซีน HPV ป้องกัน มะเร็งปากมดลูก ได้จริงหรือ?
A: ใช่ วัคซีน HPV สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงได้ถึง 90% หากฉีดในช่วงอายุที่เหมาะสมก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กหญิงอายุ 9–14 ปี จะมีประสิทธิภาพสูงสุด
Q4: ผู้ชายควรฉีดวัคซีน HPV ด้วยหรือไม่?
A: ควรฉีด เพราะผู้ชายสามารถเป็นพาหะของเชื้อ HPV ได้โดยไม่มีอาการ และยังช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อในชุมชน รวมถึงลดความเสี่ยงต่อมะเร็งองคชาต มะเร็งทวารหนัก และมะเร็งช่องปาก/ลำคอ
Q5: ฉีดวัคซีน HPV แล้ว ยังต้องตรวจ Pap smear หรือไม่?
A: ต้องตรวจ เพราะวัคซีนไม่ได้ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ของเชื้อ HPV การตรวจคัดกรองด้วย Pap smear หรือ HPV DNA ยังคงจำเป็นเพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดจากสายพันธุ์อื่น
Q6: ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ จำเป็นต้องตรวจ มะเร็งปากมดลูก หรือไม่?
A: หากยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ โอกาสติดเชื้อ HPV ต่ำมาก แต่เมื่อเริ่มมีเพศสัมพันธ์แล้วควรเข้ารับการตรวจภายใน 3 ปี และตรวจสม่ำเสมอทุก 2–3 ปี
Q7: มีตกขาวผิดปกติ แปลว่ามี มะเร็งปากมดลูก หรือไม่?
A: ไม่เสมอไป ตกขาวผิดปกติอาจเกิดจากการติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ถ้าเป็นเรื้อรัง มีกลิ่นเหม็น หรือปนเลือด ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย มะเร็งปากมดลูก
Q8: การตรวจ Pap smear เจ็บหรือไม่?
A: ไม่เจ็บมาก เป็นเพียงความรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยขณะเก็บตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูก โดยใช้เวลาเพียง 1–2 นาที และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
Q9: มีอาการปวดท้องน้อยบ่อย ๆ ควรกังวลเรื่อง มะเร็งปากมดลูก หรือไม่?
A: อาการปวดท้องน้อยอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น ปวดประจำเดือน โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือมดลูกโต หากเป็นเรื้อรัง ร่วมกับตกขาวผิดปกติหรือเลือดออกผิดปกติ ควรตรวจ มะเร็งปากมดลูก ทันที
Q10: หากเป็น มะเร็งปากมดลูก แล้ว ยังสามารถมีบุตรได้ไหม?
A: หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น บางรายสามารถเลือกการรักษาแบบรักษามดลูกไว้ได้ เช่น การผ่าตัด Trachelectomy แต่หากโรคลุกลามและต้องตัดมดลูก โอกาสมีบุตรตามธรรมชาติจะหมดไป อย่างไรก็ตาม การ “ฝากไข่” ล่วงหน้าคืออีกทางเลือกหนึ่ง
Q11: วัคซีน HPV ต้องฉีดกี่เข็ม?
A:
- อายุ 9–14 ปี: 2 เข็ม (ระยะห่าง 6 เดือน)
- อายุ 15 ปีขึ้นไป: 3 เข็ม (เดือนที่ 0, 1–2, และ 6)
- ควรฉีดให้ครบตามกำหนดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
Q12: ผู้ที่เคยติดเชื้อ HPV แล้ว ยังควรฉีดวัคซีนไหม?
A: ควรฉีด เพราะวัคซีนยังสามารถป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์อื่น ๆ ที่ยังไม่เคยได้รับ และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องกับ HPV ได้
Q13: ทำไมผู้หญิงบางคนไม่อยากตรวจ Pap smear?
A: ปัจจัยหลายประการ เช่น:
- ความอาย
- กลัวเจ็บ
- ขาดความเข้าใจว่า การตรวจ ช่วยชีวิตได้
- ความเชื่อผิดว่า “ไม่มีอาการไม่ต้องตรวจ”
วิธีแก้ไข:
- ให้ความรู้ด้วยภาษาง่าย
- ส่งเสริมบริการตรวจฟรี
- มีพยาบาลหญิงเป็นผู้ตรวจในบางสถานพยาบาล
Q14: ตรวจ HPV DNA แตกต่างจาก Pap smear อย่างไร?
A:
- Pap smear: ตรวจเซลล์ผิดปกติจากปากมดลูก
- HPV DNA: ตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อ HPV โดยตรง
- การใช้ร่วมกัน (co-testing) จะเพิ่มความแม่นยำมากที่สุด
Q15: การติด HPV เป็นซ้ำได้ไหม?
A: ได้ ผู้ที่เคยติดเชื้อ HPV แล้วอาจติดเชื้อใหม่ได้อีก โดยเฉพาะหากมีพฤติกรรมเสี่ยง ดังนั้นการป้องกันด้วยวัคซีนและพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัยจึงยังมีความสำคัญ
Q16: จะรู้ได้อย่างไรว่าหายจาก มะเร็งปากมดลูก แล้ว?
A: ต้องอาศัยการติดตามผลต่อเนื่อง โดยไม่มี การตรวจ พบเซลล์ผิดปกติหรือเชื้อ HPV อีกตลอดระยะเวลา 5 ปี ซึ่งจะถือว่า “หายขาด” ตามแนวทางของแพทย์
Q17: หากไม่ได้ฉีดวัคซีน HPV ตอนเด็ก โตแล้วจะฉีดได้ไหม?
A: ฉีดได้แม้จะอายุเกิน 26 ปี แต่ประสิทธิภาพจะลดลงบ้างเพราะอาจเคยสัมผัสเชื้อ HPV แล้ว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่าเหมาะสมหรือไม่
Q18: การฉีดวัคซีน HPV มีผลข้างเคียงหรือไม่?
A: ส่วนใหญ่เป็นเพียงผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ปวดแขน บวมบริเวณที่ฉีด หรือมีไข้ต่ำชั่วคราว ผลข้างเคียงรุนแรงพบได้น้อยมาก
บทสรุป
คำถามเกี่ยวกับ มะเร็งปากมดลูก และ HPV มักสะท้อนความไม่เข้าใจหรือความกังวลของผู้หญิงจำนวนมาก การให้ข้อมูลอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเชื่อถือได้ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันและลดอัตราการเกิดโรค
ในบทสุดท้าย เราจะสรุปภาพรวมทั้งหมดของบทความ พร้อมข้อคิดและ Call-to-Action ที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ทันที
บทที่ 11: สรุปและ Call-to-Action – ถึงเวลาป้องกัน มะเร็งปากมดลูกอย่างจริงจัง
มะเร็งปากมดลูก : ภัยเงียบที่ป้องกันได้
จากบทความทั้ง 10 บทก่อนหน้านี้ เราได้เรียนรู้ว่า “ มะเร็งปากมดลูก ” เป็นโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลกนับแสนรายในแต่ละปี แต่ในขณะเดียวกัน มันคือหนึ่งในมะเร็งไม่กี่ชนิดที่ สามารถป้องกันได้ 100% หากมีความรู้และลงมือทำอย่างถูกวิธี
สาระสำคัญที่คุณควรรู้
1. สาเหตุหลักของ มะเร็งปากมดลูก คือเชื้อ HPV
โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และสามารถอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการ
2. วัคซีน HPV คือเกราะป้องกันที่ทรงพลัง
หากฉีดตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ วัคซีนสามารถลดความเสี่ยงในการเกิด มะเร็งปากมดลูก ได้ถึง 90%
3. ตรวจคัดกรองช่วยชีวิต
การตรวจ Pap smear และ HPV DNA ช่วยตรวจพบความผิดปกติของเซลล์ก่อนพัฒนาเป็นมะเร็ง ช่วยเพิ่มโอกาสรักษาหายขาดได้สูงถึง 100% หากพบในระยะแรก
4. พฤติกรรมเสี่ยงคือปัจจัยร่วม
การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย คู่นอนหลายคน ไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการสูบบุหรี่ ล้วนเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อและเกิดโรค
5. มะเร็งปากมดลูก รักษาได้ หากพบเร็ว
มีหลายวิธีการรักษาตามระยะของโรค ตั้งแต่การจี้เย็น การผ่าตัด ไปจนถึงเคมีบำบัดและฉายแสง
คุณสามารถทำอะไรได้ทันที?
✅ ตรวจคัดกรองทันที หากคุณมีคุณสมบัติดังนี้:
- เป็นผู้หญิงอายุ 25 ปีขึ้นไป
- เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว
- ไม่เคยตรวจ Pap smear หรือไม่ตรวจมานานเกิน 3 ปี
หน่วยบริการของรัฐหลายแห่งมีบริการตรวจฟรี ปีละ 1 ครั้ง สำหรับหญิงไทยอายุ 30–60 ปี
✅ วางแผนการฉีดวัคซีน HPV
- อายุ 9–14 ปี: ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน
- อายุ 15–26 ปี: ฉีด 3 เข็ม ครบตามกำหนด
- อายุ 27–45 ปี: ปรึกษาแพทย์ว่าเหมาะสมหรือไม่
- ผู้ชายก็สามารถฉีดได้เช่นกัน!
วัคซีน 9 สายพันธุ์ช่วยป้องกัน มะเร็งปากมดลูก ได้มากถึง 90% และยังครอบคลุมมะเร็งทวารหนัก ช่องปาก และหูดหงอนไก่
✅ เปลี่ยนพฤติกรรม ลดความเสี่ยง
- ใช้ถุงยางอนามัยสม่ำเสมอ
- งดการมีคู่นอนหลายคน
- เลิกบุหรี่ และรักษาสุขอนามัยของอวัยวะเพศ
- ออกกำลังกายและนอนหลับเพียงพอเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
✅ สื่อสารและเผยแพร่ข้อมูลให้ผู้อื่น
- แชร์บทความนี้ให้กับเพื่อน ครอบครัว และผู้หญิงรอบตัวคุณ
- สร้างความเข้าใจเรื่อง “การป้องกัน มะเร็งปากมดลูก ” ให้เป็นเรื่องใกล้ตัว
- กระตุ้นให้สังคมไทยกล้าตรวจ กล้าป้องกัน และกล้าพูดเรื่องสุขภาพเพศ
หน่วยงานและบริการที่สามารถติดต่อได้
หน่วยงาน | เบอร์โทร | เว็บไซต์ |
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ | 02-202-6800 | www.nci.go.th |
กรมอนามัย | 1422 (สายด่วน) | www.anamai.moph.go.th |
โรงพยาบาล ปิยะเวท | 1489 (สายด่วน) | ติดต่อแอดมิน |
“วันนี้คุณตรวจหรือยัง?”
ไม่ว่าจะอายุเท่าไร มีลูกหรือยัง ไม่เคยมีอาการหรือไม่ก็ตาม การตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก คือ “การดูแลตัวเองในแบบที่ฉลาดที่สุด” การเลี่ยงตรวจอาจทำให้คุณสูญเสียโอกาสทองในการรักษา
อย่าปล่อยให้ความกลัวหรือความอาย มาขัดขวางการดูแลสุขภาพที่แท้จริง
สรุปสุดท้าย
- มะเร็งปากมดลูก ป้องกันได้
- วัคซีน HPV และการตรวจ Pap smear คือคู่มือรอดชีวิต
- เริ่มวันนี้ เปลี่ยนพฤติกรรม ป้องกันโรคได้ตลอดชีวิต
- คุณไม่จำเป็นต้องเป็นอีกหนึ่งในสถิติ หากคุณลงมือทำทันที
Call-to-Action 🔔
🎯 นัดหมายตรวจ Pap smear หรือ HPV DNA ภายในสัปดาห์นี้!
🎯 ค้นหาโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีบริการฉีดวัคซีน HPV ใกล้บ้านคุณ
🎯 ส่งต่อความรู้ให้ผู้หญิงอีก 5 คนรอบตัวคุณ
🎯 ตั้ง Reminders ตรวจซ้ำทุก 2–3 ปี
🎯 ติดตามความรู้สุขภาพผ่านเว็บของกรมอนามัย / สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
- สาเหตุมะเร็งปากมดลูก
- ปัจจัยก่อมะเร็งปากมดลูก
- เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
- สิ่งที่กระตุ้นการเกิดมะเร็งปากมดลูก
- สาระสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก
- สิ่งที่ทำให้เสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
- ปัจจัยเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
- ต้นตอของมะเร็งปากมดลูก
- ที่มาของโรคมะเร็งปากมดลูก
- สาเหตุเบื้องหลังของมะเร็งปากมดลูก