ทำไมกินหมู(ดิบ) แล้วหูดับ
การบริโภคหมูตามปกติ หากบริโภคแบบปรุงสุกก็จะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพแต่อย่างใด แต่ถ้าหากบริโภคแบบสุกๆดิบๆ อาจเสี่ยงติดเชื้อโรคไข้หูดับได้ โรคไข้หูดับซึ่งในทางการแพทย์มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โรคไข้หูดับเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (STREPTOCOCCUS SUIS)”โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และอยู่ในเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อได้ 2 ทาง คือ 1. เกิดจากการบริโภคเนื้อและเลือดหมูที่ปรุงแบบดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ 2. การสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อทั้งเนื้อหมู เครื่องใน และเลือดหมูที่เป็นโรค จากทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย
อาการเด่นของโรคนอกจากจะมีไข้สูงแล้ว ยังมีภาวะสูญเสียการได้ยิน หรือเข้าใจง่ายๆ ว่าหูดับนั่นเอง โดยโรคไข้หูดับนี้ ถูกพบครั้งแรกที่ประเทศเดนมาร์กในปี พ.ศ. 2511 หลังจากนั้นก็พบในอีกหลายประเทศ ก่อนที่ในปี พ.ศ.2548 จะเกิดการระบาดครั้งใหญ่ในประเทศจีน โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ล้วนมีประวัติการสัมผัสกับหมูที่ติดเชื้อ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยเรา พบโรคนี้ครั้งแรกในปี พ.ศ.2530 จากผลการสํารวจของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปี 2561 พบว่ามีการติดเชื้อกระจายเกือบทุกภาคโดยเฉพาะภาคเหนือ เนื่องจากมักทำอาชีพเลี้ยงหมูและมีเมนูอาหารพื้นบ้านที่เป็นของดิบ
ดังนั้นกลุ่มแรกที่ต้องระวังคือ คนที่มีอาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยงหมู หรือต้องใกล้ชิดกับหมู รวมถึงใครที่ชอบกินสุกๆ ดิบๆ รวมถึงผู้ติดสุราเรื้อรัง เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายอ่อนแอติดเชื้อได้ง่ายแล้ว อาหารดิบยังเป็นเมนูกับแกล้มของโปรดของสายดื่มอีกด้วย เช่นเดียวกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ หรือเคยตัดม้ามออก เพราะหากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรง เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำ
อาการนี้ชี้ชัดว่าหูดับ
ส่วนมากแล้วอาการของโรคจะเกิดขึ้นหลังจากกินเนื้อหมู หรือสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย3-5 วัน โดยจะมีอาการ หากไม่ได้ทำการรักษาจะทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่เยื่อหุ้มสมอง ประสาทหูชั้นในทั้งสองข้างและกระแสเลือด จนมีอาการรุนแรง ทำให้เยื่อหุ้มสมอง หัวใจ ข้อ และม่านตาเกิดการอักเสบ เป็นหนองบริเวณปลายประสาทรับเสียง และปลายประสาททรงตัว รวมถึงเกิดอาการหูตึงหรือหูดับจนเป็นโรคหูหนวก
อาการของผู้ป่วยโรคหูดับ
- ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ภายใน 3 วันจะมีอาการ ดังนี้
- มีไข้สูง
- ปวดเมื่อยตามตัว
- ปวดศีรษะ
- เวียนศีรษะ
- ปวดตามข้อ
- มีจ้ำเลือดตามตัว ตามผิวหนัง
- ซึม
- คอแข็ง
- ชัก
- มีการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึก
- เมื่อเชื้อเข้าสู่เยื่อหุ้มสมอง และ กระแสเลือด
- ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ข้ออักเสบ
- ม่านตาอักเสบ
และเนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอยู่ใกล้กับประสาทหูชั้นในทั้งสองข้าง เชื้อจึงสามารถลุกลาม จึงทำให้เกิดหนองบริเวณปลายประสาทรับเสียง และ ปลายประสาททรงตัว ทำให้หูตึง หูดับ จนกระทั่ง หูหนวก เวียนศีรษะ และ เดินเซตามมาได้
การป้องกัน โรคหูดับ
- ไม่รับประทานเนื้อหมูที่ไม่สุก
- ไม่กินหมูป่วย หรือ หมูที่ตายจากโรค และควรเลือกบริโภคหมูที่มาจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน
- สวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น รองเท้าบู๊ต ถุงมือ เพื่อป้องกันการสัมผัสโรคจากกุกรที่ป่วย
- ล้างมือ ล้างเท้า หรือ อาบน้ำให้สะอาดหลังสัมผัสสุกร
- เมื่อมีแผลต้องระวังในการสัมผัสสุกรระวังการติดเชื้อทางบาดแผล
- กำจัดเชื้อจากฟาร์ม ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้สุกรป่วย