LASIK เหมาะกับคุณหรือไม่ ค่าสายตาคุณเป็นอย่างไร
ผู้ที่มีค่าสายตาคงที่มาอย่างน้อย 1 ปีมักเป็นผู้สมัครที่ดีสำหรับการทำ LASIK เป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ เทคนิคการผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์นี้มีความแม่นยำ ปลอดภัย และฟื้นตัวได้รวดเร็ว ทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มผู้ที่มีภาวะสายตาผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง LASIK เหมาะกับคุณหรือไม่ ค่าสายตาคุณเป็นอย่างไร

LASIK เหมาะกับคุณหรือไม่? ค่าสายตาของคุณเข้าเกณฑ์สำหรับการทำเลสิกหรือเปล่า?
แต่แม้ว่า LASIK จะเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับหลาย ๆ คน ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถเข้ารับการผ่าตัดนี้ได้ทันที การตัดสินใจว่าจะทำเลสิคหรือไม่นั้นควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง และต้องมีการประเมินอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจกับ 6 ลักษณะทั่วไปของผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการทำ LASIK ซึ่งอ้างอิงจากเกณฑ์ที่ใช้ในคลินิกจักษุสมัยใหม่ทั่วโลก
1. คุณมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และค่าสายตาเริ่มคงที่ — เกณฑ์เบื้องต้นสำหรับผู้เข้ารับการผ่าตัดเลสิก
การมีอายุมากกว่า 18 ปีเป็นข้อกำหนดพื้นฐานของการทำ LASIK เพราะสายตาควรหยุดเปลี่ยนแปลงก่อนการรักษา
อายุเป็นหนึ่งในเกณฑ์เบื้องต้นที่ใช้ในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เข้ารับการรักษาเลสิค เนื่องจากในช่วงวัยรุ่นตอนปลายถึงต้นวัยผู้ใหญ่ ระบบการเจริญเติบโตของร่างกายรวมถึงสายตาจะเริ่มเข้าสู่ภาวะเสถียร โดยทั่วไป คลินิกจะรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอายุไม่ได้จำกัดแค่ขั้นต่ำเท่านั้น ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 40–50 ปีก็ยังสามารถเข้ารับการทำเลสิคได้ หากสุขภาพดวงตายังแข็งแรง และไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือโรคตาอื่น ๆ ที่อาจเป็นข้อห้าม เช่น ต้อกระจก ต้อหิน หรือจอประสาทตาเสื่อม
การตรวจประเมินเบื้องต้นจะรวมถึงการวัดค่าสายตา การตรวจโครงสร้างภายในดวงตา และประวัติการเปลี่ยนแปลงของสายตาในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมา
2. ค่าสายตาคงที่อย่างน้อย 1 ปี
หนึ่งในข้อพิจารณาสำคัญที่สุดก่อนทำเลสิคคือ ความคงที่ของค่าสายตา หากค่าสายตาของคุณมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 0.50 D ภายในหนึ่งปี อาจจำเป็นต้องชะลอการรักษาเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ค่าสายตาจะเปลี่ยนไปหลังการผ่าตัด
เหตุผลที่ต้องรอให้สายตาคงที่คือ เลสิคไม่ได้หยุดความเปลี่ยนแปลงของสายตา แต่เป็นการ “รีเซ็ต” สภาพการมองเห็นให้ชัดเจน ดังนั้น หากยังอยู่ในช่วงที่สายตาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจไม่ถาวร หรือกลับมาต้องใส่แว่นในอนาคตอีกครั้ง
การคงที่ของสายตายังเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้ผลลัพธ์ของ LASIK อยู่ได้นานหลายสิบปี โดยไม่จำเป็นต้องทำซ้ำหรือแก้ไขเพิ่มเติม
3. ค่าสายตาอยู่ในช่วงที่เลสิคสามารถรักษาได้
LASIK มีข้อจำกัดในด้านของระดับค่าสายตาที่สามารถรักษาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไป ศัลยแพทย์จะพิจารณาจากใบสั่งยาและค่าวัดจากเครื่องมือเฉพาะทาง เช่น autorefractor และ corneal topography
ช่วงค่าที่เหมาะสมสำหรับ LASIK ได้แก่:
- สายตาสั้น (Myopia): สูงสุดประมาณ -12.00 ไดออปเตอร์
- สายตายาว (Hyperopia): สูงสุดประมาณ +3.00 ไดออปเตอร์
- สายตาเอียง (Astigmatism): สูงสุดประมาณ -6.00 ไดออปเตอร์
4. ความหนาของกระจกตาเพียงพอ
การผ่าตัดเลสิคเกี่ยวข้องกับการแยกชั้นผิวกระจกตา (flap) และใช้เลเซอร์ในการปรับรูปร่างกระจกตา ซึ่งต้องใช้ความหนาของกระจกตาในระดับที่ปลอดภัย การประเมินนี้จะทำโดยใช้เครื่อง Pachymeter วัดความหนาของกระจกตาในหน่วยไมครอน
โดยทั่วไป กระจกตาควรมีความหนาอย่างน้อย 480–500 ไมครอน หากบางกว่านี้ อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตายุบ หรือ Ectasia ซึ่งเป็นภาวะที่กระจกตาโป่งออกหลังการผ่าตัด
ผู้ที่มีกระจกตาบาง อาจได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนเป็นtrans- PRK ซึ่งไม่ต้องแยก flap และมีการใช้เนื้อเยื่อน้อยกว่า
5. ไม่มีภาวะตาหรือโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้าม
LASIK อาจไม่เหมาะสมในผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางประการที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์การรักษาหรือการฟื้นตัวของแผล เช่น:
- โรคตาแห้งเรื้อรัง (Chronic Dry Eye): อาการอาจแย่ลงหลังการผ่าตัด
- กระจกตาโป่ง (Keratoconus): เป็นข้อห้ามเด็ดขาด เพราะกระจกตาจะไม่คงรูปร่าง
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune diseases): เช่น SLE, Rheumatoid arthritis อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของแผล
- เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้: อาจทำให้การสมานแผลช้าและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้ค่าสายตาไม่คงที่
การเปิดเผยข้อมูลทางการแพทย์อย่างครบถ้วนกับแพทย์ผู้ผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เลือกแนวทางการรักษาที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุด
6. คุณมีความคาดหวังที่เป็นจริง
แม้ว่าเทคโนโลยี LASIK จะทันสมัยและแม่นยำสูง แต่ไม่ใช่การรักษาที่สมบูรณ์แบบ 100% ผู้ที่มีความคาดหวังว่าจะ “มองเห็นชัดตลอดชีวิต” โดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นอีกเลย อาจรู้สึกผิดหวังหากสายตาเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุมากขึ้น
- ผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี อาจยังต้องใส่แว่นอ่านหนังสือ เพราะเกิดจาก Presbyopia (สายตายาวตามวัย) ซึ่งไม่เกี่ยวกับ LASIK
- บางรายอาจต้องทำการแก้ไขซ้ำเล็กน้อย (enhancement) ในอนาคต
- มีโอกาสเล็กน้อยที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น แสงกระจายตอนกลางคืน ตาแห้ง แผลหายช้า
การพูดคุยกับจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำความเข้าใจทั้งข้อดี ข้อจำกัด และผลลัพธ์ที่คาดหวัง จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีความพึงพอใจในผลลัพธ์มากขึ้น
ขั้นตอนถัดไป: หากคุณยังไม่แน่ใจ
หากคุณยังไม่แน่ใจว่าเหมาะกับ LASIK หรือไม่ ควรเริ่มต้นด้วยการนัดหมายตรวจคัดกรองกับศูนย์เลสิคโดยเฉพาะ การตรวจนี้จะรวมถึง:
- รูปถ่ายลักษณะของกระจกตา (Corneal Topography)
- การวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry)
- การวัดรูม่านตาในที่มืด
- การประเมินน้ำตาและสุขภาพผิวตา
- การวัดค่าวัดสายตาอย่างละเอียด
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ศัลยแพทย์ตัดสินใจว่าคุณเหมาะกับ LASIK วิธีใด
ขั้นตอนถัดไป: หากคุณยังไม่แน่ใจ
หากคุณยังไม่แน่ใจว่าเหมาะกับ LASIK หรือไม่ ควรเริ่มต้นด้วยการนัดหมายตรวจคัดกรองกับศูนย์เลสิคโดยเฉพาะ การตรวจนี้จะรวมถึง:
- รูปถ่ายลักษณะของกระจกตา (Corneal Topography)
การถ่ายภาพลักษณะของกระจกตา หรือที่เรียกว่า Corneal Topography เป็นเทคนิคการถ่ายภาพทางการแพทย์ที่ไม่รุกราน ใช้สำหรับสร้างแผนที่สามมิติของพื้นผิวกระจกตา ซึ่งเป็นส่วนใสด้านหน้าของดวงตา . แผนที่นี้ช่วยให้จักษุแพทย์สามารถวิเคราะห์รูปร่าง ความโค้ง และความหนาของกระจกตาได้อย่างละเอียด

ประเภทของแผนที่ Corneal Topography
- Axial Map (Sagittal Map): แสดงความโค้งของกระจกตาโดยใช้สีรหัส สีแดงและส้มแสดงพื้นที่ที่โค้งมาก ส่วนสีเขียวและน้ำเงินแสดงพื้นที่ที่แบนราบ
- Elevation Map: เปรียบเทียบพื้นผิวกระจกตากับพื้นผิวอ้างอิง เพื่อแสดงความสูงหรือต่ำของกระจกตาในแต่ละจุด .
- Pachymetry Map: แสดงความหนาของกระจกตาในแต่ละตำแหน่ง โดยสีเย็นแสดงพื้นที่ที่หนา และสีร้อนแสดงพื้นที่ที่บาง .
ประโยชน์ของ Corneal Topography
- การวินิจฉัยโรค: ช่วยในการวินิจฉัยและติดตามโรคที่เกี่ยวข้องกับกระจกตา เช่น Keratoconus, Astigmatism และการเกิดแผลเป็นจากการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ
- การวางแผนการผ่าตัด: ใช้ในการวางแผนและประเมินผลการผ่าตัด เช่น LASIK, PRK, การปลูกถ่ายกระจกตา และการผ่าตัดต้อกระจก
- การปรับคอนแทคเลนส์: ช่วยในการเลือกและปรับคอนแทคเลนส์ให้เหมาะสมกับรูปร่างของกระจกตา โดยเฉพาะในผู้ที่มีรูปร่างกระจกตาผิดปกติ .
การตรวจ Corneal Topography
การตรวจนี้ไม่เจ็บปวดและใช้เวลาไม่นาน โดยผู้ป่วยจะนั่งหน้ากล้องถ่ายภาพพิเศษที่จับภาพกระจกตา จากนั้นระบบจะสร้างแผนที่สีของกระจกตาเพื่อการวิเคราะห์ .
- การวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry)
การวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry) คือกระบวนการวัดความหนาของกระจกตา โดยเฉพาะบริเวณกึ่งกลาง ซึ่งมีความสำคัญในการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาโรคตาหลายชนิด เช่น โรคต้อหิน และก่อนทำการผ่าตัดแก้ไขสายตา เช่น LASIK

🔬 วิธีการวัดความหนาของกระจกตา
- Ultrasound Pachymetry
- ใช้หัววัดคล้ายปากกาสัมผัสผิวกระจกตาโดยตรง
- ต้องใช้ยาชาหยอดตาเพื่อป้องกันความรู้สึกไม่สบาย
- ใช้เวลาไม่กี่วินาที และให้ค่าความแม่นยำสูง
- ใช้หัววัดคล้ายปากกาสัมผัสผิวกระจกตาโดยตรง
- Optical Pachymetry (แบบไม่สัมผัส)
- ใช้แสงเลเซอร์หรือระบบสแกนภาพ เช่น OCT (Optical Coherence Tomography)
- ไม่ต้องสัมผัสตา ปลอดภัยมากขึ้น และให้ภาพความละเอียดสูง
- เหมาะกับผู้ที่ต้องตรวจติดตามบ่อย ๆ
- ใช้แสงเลเซอร์หรือระบบสแกนภาพ เช่น OCT (Optical Coherence Tomography)
📊 ค่าปกติของความหนากระจกตา
- โดยเฉลี่ยกระจกตากลางมีความหนา ประมาณ 500–550 ไมครอน (μm)
- หากบางกว่า 500 μm อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะต้อหิน หรืออาจไม่เหมาะกับการผ่าตัด LASIK แบบมาตรฐาน
- หากหนากว่าค่าเฉลี่ย อาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติ เช่น ภาวะบวมน้ำในกระจกตา
💡 ความสำคัญของ Pachymetry
- ✅ คัดกรองโรคต้อหิน: ความหนากระจกตาส่งผลต่อค่าความดันตา (IOP) ที่วัดได้ ถ้ากระจกตาบาง ความดันที่วัดอาจต่ำกว่าความจริง
- ✅ วางแผนผ่าตัดสายตา (LASIK/PRK): เพื่อคำนวณความลึกของการตัดกระจกตา และประเมินความปลอดภัย
- ✅ ติดตามภาวะกระจกตาบวมน้ำ: เช่น หลังการผ่าตัดต้อกระจกหรือภาวะกระจกตาเสื่อม (Fuchs’ Dystrophy)
📌 ตัวอย่างเครื่องมือ Pachymetry ที่ใช้บ่อย
- Ultrasound Pachymeter เช่น DGH Pachette, Reichert PachPen
- OCT (Optical Coherence Tomography)
- Scheimpflug Imaging เช่น Pentacam
- Specular Microscopy (ใช้ดูร่วมกับความหนาและสภาพเยื่อบุหลังกระจกตา)
หากต้องการภาพแสดงเครื่องมือหรือแผนที่ Pachymetry สามารถขอเพิ่มเติมได้ครับ ✅
- การวัดรูม่านตาในที่มืด
การวัดรูม่านตาในที่มืด (Dark Room Pupil Size Measurement) คือการตรวจสอบขนาดของรูม่านตา (Pupil) ขณะอยู่ในสภาวะแสงน้อยหรือความมืด เพื่อประเมินการตอบสนองของม่านตาต่อความเปลี่ยนแปลงของแสง ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในหลายบริบททางการแพทย์ โดยเฉพาะในการผ่าตัดแก้ไขสายตา (เช่น LASIK), จักษุวิทยา, และระบบประสาทวิทยา
🌓 รูม่านตาทำงานอย่างไรในที่มืด?
- ในที่มืด รูม่านตาจะ ขยายตัว (Dilate) เพื่อให้แสงผ่านเข้าสู่ตาได้มากขึ้น
- ขนาดของรูม่านตาขณะอยู่ในที่มืดโดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 4–8 มม. แล้วแต่บุคคลและสภาวะต่าง ๆ เช่น อายุ ยา หรือโรคประจำตัว

🛠 วิธีการวัดรูม่านตาในที่มืด
- Pupilometer (เครื่องวัดขนาดรูม่านตาโดยเฉพาะ)
- ใช้แสงอินฟราเรดเพื่อจับภาพในที่มืด
- ให้ผลแม่นยำ และสามารถเก็บค่าการเปลี่ยนแปลงได้หลายช่วงเวลา
- ใช้แสงอินฟราเรดเพื่อจับภาพในที่มืด
- Auto Refractor หรือเครื่องตรวจตาแบบรวมฟังก์ชัน
- บางรุ่นสามารถวัดขนาดรูม่านตาในที่มืดได้อัตโนมัติ
- บางรุ่นสามารถวัดขนาดรูม่านตาในที่มืดได้อัตโนมัติ
- การวัดด้วยไม้บรรทัด Pupil Gauge (ไม่แนะนำในที่มืดโดยตรง)
- ต้องใช้ร่วมกับไฟส่องเฉพาะทางหรือกล้อง
- ต้องใช้ร่วมกับไฟส่องเฉพาะทางหรือกล้อง
🧠 ประโยชน์ของการวัดรูม่านตาในที่มืด
- ✅ ประเมินก่อนการทำเลสิค/PRK: ถ้ารูม่านตาในที่มืดขยายมากกว่าพื้นที่เลเซอร์ อาจมีแสงกระจายตอนกลางคืน (night glare, halo)
- ✅ วินิจฉัยความผิดปกติของระบบประสาท: เช่น anisocoria (รูม่านตาสองข้างไม่เท่ากัน)
- ✅ ประเมินผลข้างเคียงของยา: ยาบางชนิดอาจทำให้ม่านตาหดหรือขยายผิดปกติ
- ✅ การติดตามหลังอุบัติเหตุทางสมอง: เช่นในผู้ป่วย stroke หรือ traumatic brain injury
📏 ขนาดรูม่านตาในที่มืด (โดยเฉลี่ย)
กลุ่มอายุ | ขนาดรูม่านตาในที่มืด (มม.) |
เด็กและวัยรุ่น | 6.0 – 8.0 มม. |
ผู้ใหญ่ | 5.0 – 7.0 มม. |
ผู้สูงอายุ | 4.0 – 6.0 มม. |
หากต้องการภาพอินโฟกราฟิกหรือภาพแสดงเครื่องมือและการวัดขนาดรูม่านตาในที่มืด แจ้งได้เลยครับ ✅
- การประเมินน้ำตาและสุขภาพผิวตา
การประเมินน้ำตาและสุขภาพผิวตา เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาภาวะผิดปกติของดวงตา เช่น โรคตาแห้ง การอักเสบของเยื่อบุตา และภาวะผิดปกติของผิวกระจกตา การประเมินนี้ช่วยให้จักษุแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้แม่นยำและตรงจุดมากขึ้น

👁 ส่วนประกอบสำคัญของผิวตาและน้ำตา
- ชั้นน้ำตา (Tear Film)
ประกอบด้วย 3 ชั้น:
- ชั้นไขมัน (Lipid layer): ผลิตโดยต่อม Meibomian ช่วยลดการระเหยของน้ำตา
- ชั้นน้ำ (Aqueous layer): ให้ความชุ่มชื้น ผลิตโดยต่อมน้ำตาหลัก
- ชั้นเมือก (Mucin layer): ช่วยให้น้ำตากระจายทั่วพื้นผิวตา
- ชั้นไขมัน (Lipid layer): ผลิตโดยต่อม Meibomian ช่วยลดการระเหยของน้ำตา
- ผิวกระจกตา (Corneal Epithelium)
- เป็นชั้นเซลล์ผิวตาด้านหน้าสุด ทำหน้าที่ปกป้องและทำให้การมองเห็นคมชัด
- เป็นชั้นเซลล์ผิวตาด้านหน้าสุด ทำหน้าที่ปกป้องและทำให้การมองเห็นคมชัด
🧪 วิธีการประเมินน้ำตาและผิวตา
1. Schirmer’s Test
- ใช้กระดาษกรองพิเศษวางที่ขอบตาล่างเพื่อตรวจวัดปริมาณน้ำตา
- หากเปียกน้อยกว่า 5 มม. ภายใน 5 นาที บ่งบอกว่ามีภาวะตาแห้ง
2. Tear Break-Up Time (TBUT)
- หยอดสีฟลูออเรสเซนต์เข้าไปในตาแล้วให้คนไข้ลืมตาโดยไม่กะพริบ
- วัดเวลาที่น้ำตาเริ่มแยกตัวออก ถ้าน้อยกว่า 10 วินาที แสดงถึงคุณภาพน้ำตาที่ไม่ดี
3. Staining Tests
- ใช้สารสีพิเศษ เช่น Fluorescein หรือ Lissamine green เพื่อตรวจหาความเสียหายของผิวตา
- ผิวตาที่ไม่สมบูรณ์จะติดสี ทำให้สามารถระบุรอยแผลหรือการอักเสบได้
4. Meibography
- ตรวจภาพของต่อมไขมัน (Meibomian glands) ที่เปลือกตาเพื่อดูการทำงานของต่อมไขมันในน้ำตา
5. Tear Osmolarity
- ตรวจความเข้มข้นของน้ำตา หากมีค่า Osmolarity สูง อาจแสดงถึงภาวะตาแห้งเรื้อรัง
🔍 สัญญาณผิดปกติของสุขภาพผิวตา
- ผิวตาติดสีหลังทดสอบ
- การเกิดเส้นเลือดฝอยผิดปกติ
- จุดแผลเล็ก ๆ บนกระจกตา
- เยื่อบุตาแดงเรื้อรัง
- ความรู้สึกแสบตา ระคายเคือง หรือมองไม่ชัดช่วงเย็น
🎯 ความสำคัญของการประเมินนี้
- ✅ ช่วยวินิจฉัยตาแห้งทั้งแบบน้ำตาน้อย และระเหยเร็ว
- ✅ ตรวจหาภาวะภูมิแพ้ หรือการอักเสบของผิวตา
- ✅ ติดตามผลการรักษาหลังให้ยาหยอดตา, IPL, หรือการใช้เลนส์สัมผัส
- ✅ วางแผนก่อนทำ LASIK, PRK, หรือใส่คอนแทคเลนส์ถาวร
หากคุณต้องการภาพประกอบเพื่อสื่อสารเรื่องนี้ต่อ สามารถขอได้ครับ ✅
- การวัดค่าวัดสายตาอย่างละเอียด
การวัดค่าวัดสายตาอย่างละเอียด (Comprehensive Eye Refraction Test) คือขั้นตอนสำคัญในการตรวจวัดความผิดปกติของการมองเห็น เพื่อกำหนดค่าสายตาที่ถูกต้องและวางแผนการแก้ไข เช่น การใส่แว่นตา คอนแทคเลนส์ หรือการผ่าตัดเลสิก โดยการวัดที่ละเอียดจะรวมถึงการประเมินหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการมองเห็นของผู้ป่วย

👁 ค่าที่ได้จากการวัดสายตา
- ค่าสายตาสั้น (Myopia)
- มองไกลไม่ชัด ค่าจะเป็นลบ เช่น -2.00 D
- มองไกลไม่ชัด ค่าจะเป็นลบ เช่น -2.00 D
- ค่าสายตายาว (Hyperopia)
- มองใกล้ไม่ชัด ค่าจะเป็นบวก เช่น +1.50 D
- มองใกล้ไม่ชัด ค่าจะเป็นบวก เช่น +1.50 D
- ค่าสายตาเอียง (Astigmatism)
- การมองเห็นบิดเบี้ยวหรือไม่ชัดในทุกระยะ
- มีค่า Cylinder (CYL) และ Axis (องศา) เช่น -1.00 CYL @ 180°
- การมองเห็นบิดเบี้ยวหรือไม่ชัดในทุกระยะ
- ค่า PD (Pupillary Distance)
- ระยะห่างระหว่างรูม่านตาทั้งสองข้าง ใช้ในการผลิตแว่นตา
- ระยะห่างระหว่างรูม่านตาทั้งสองข้าง ใช้ในการผลิตแว่นตา
🔬 ขั้นตอนในการวัดสายตาอย่างละเอียด
1. Auto Refractor
- เครื่องวัดค่าคร่าว ๆ อัตโนมัติของสายตาเบื้องต้น
- เป็นการประเมินโดยไม่ต้องตอบคำถาม
2. Retinoscopy (โดยผู้เชี่ยวชาญ)
- ใช้แสงสะท้อนจากเรตินาเพื่อตรวจค่าสายตา
- เหมาะสำหรับเด็กหรือผู้ที่ไม่สามารถสื่อสารได้
3. Subjective Refraction
- การให้ผู้ป่วยเลือกเลนส์ที่มองเห็นชัดที่สุด
- ใช้เครื่อง Phoropter หรือ Trial Lens
- ขั้นตอนนี้ละเอียดที่สุด
4. Keratometry หรือ Topography
- ตรวจความโค้งกระจกตา เพื่อตรวจสายตาเอียงอย่างแม่นยำ
- ใช้ก่อนทำ LASIK หรือใส่คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ
5. Binocular Vision Testing
- ตรวจการทำงานร่วมกันของตาทั้งสองข้าง
- ประเมินการเพ่งภาพและการกล้ามเนื้อตา
🧠 ความสำคัญของการวัดสายตาอย่างละเอียด
- ✅ ได้ค่าสายตาที่แม่นยำเพื่อทำแว่นหรือเลนส์
- ✅ ประเมินความเหมาะสมในการทำเลสิคหรือใส่คอนแทคเลนส์
- ✅ ตรวจพบโรคตาหรือปัญหาการมองเห็นแฝง เช่น ตาขี้เกียจ
- ✅ ช่วยลดอาการปวดหัว ตาพร่ามัว หรือสายตาเพลีย
📝 ตัวอย่างผลค่าวัดสายตา
ตาข้าง | Sph (D) | Cyl (D) | Axis (°) |
ขวา (OD) | -2.00 | -0.75 | 180° |
ซ้าย (OS) | -1.75 | -1.00 | 170° |
ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ศัลยแพทย์ตัดสินใจว่าคุณเหมาะกับ LASIK วิธีใด
สรุป: LASIK เหมาะกับคุณหรือไม่ ค่าสายตาคุณเป็นอย่างไร
ไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน แต่สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ทั้ง 6 ข้อที่กล่าวมา ก็มีแนวโน้มสูงที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรักษานี้
หากคุณกำลังเบื่อกับการใส่แว่น คอนแทคเลนส์ หรือมีข้อจำกัดจากสายตาในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำ LASIK อาจเป็นประตูสู่โลกที่คมชัด สดใส และสะดวกสบายกว่าที่เคย