1.บทนำ: ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับการผ่าตัด LASIK
ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและสุขภาพดวงตามากขึ้น การมองเห็นที่ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์จึงกลายเป็นเป้าหมายของใครหลายคน และ “LASIK” ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการแก้ไขปัญหาสายตา ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง
การผ่าตัดเลสิค (LASIK) เป็นเทคโนโลยีการรักษาดวงตาที่ใช้แสงเลเซอร์ในการปรับรูปร่างกระจกตา เพื่อให้แสงที่เข้าสู่ดวงตาสามารถโฟกัสลงบนจอประสาทตาได้อย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ป่วยสามารถมองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ช่วยการมองเห็นอีกต่อไป
LASIK ย่อมาจากอะไร?
LASIK ย่อมาจากคำว่า Laser-Assisted In Situ Keratomileusis ซึ่งเป็นเทคนิคการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ที่ใช้ปรับเปลี่ยนความโค้งของกระจกตาชั้นกลางผ่านการเปิดชั้นผิวบางของกระจกตา (เรียกว่า flap) และยิงเลเซอร์เข้าไปเพื่อปรับรูปร่างภายใน แล้วจึงปิด flap กลับโดยไม่ต้องเย็บ
ด้วยความแม่นยำของเทคโนโลยีนี้ LASIK ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์ทั่วโลกในด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และระยะเวลาการฟื้นตัวที่สั้น โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ภายใน 24–48 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
เหตุผลที่ LASIK เป็นที่นิยม
- ไม่ต้องใช้แว่นหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป
หลายคนที่ใช้แว่นหรือคอนแทคเลนส์มานาน อาจพบกับความไม่สะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น การใส่แว่นขณะออกกำลังกาย หรือการลืมถอดคอนแทคเลนส์ก่อนนอน ซึ่ง LASIK สามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้โดยตรง - เทคโนโลยีมีความแม่นยำสูง
ปัจจุบัน LASIK ใช้เลเซอร์ที่สามารถควบคุมความลึกและรูปแบบของการตัดได้อย่างแม่นยำ ทำให้ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ และเพิ่มความปลอดภัยของการผ่าตัด - ฟื้นตัวเร็ว เห็นผลเร็ว
หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถมองเห็นชัดเจนภายใน 1–2 วัน และกลับไปทำงานหรือเรียนหนังสือได้ในระยะเวลาอันสั้น - ผลลัพธ์ระยะยาว
การทำ LASIK ส่วนใหญ่ให้ผลการรักษาที่คงที่นานหลายปี โดยเฉพาะในผู้ที่มีค่าสายตาคงที่แล้วก่อนเข้ารับการผ่าตัด
ใครบ้างที่เหมาะกับ LASIK?
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำ เลสิค ได้ แม้ว่าเทคโนโลยีนี้จะมีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและข้อห้ามบางประการ เช่น
- ต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปีขึ้นไป
- ค่าสายตาต้องคงที่อย่างน้อย 1 ปี
- ไม่มีโรคกระจกตาบางหรือกระจกตาย้วย
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากโรคทางตา เช่น จอประสาทตาเสื่อม ต้อหิน หรือตาแห้งเรื้อรัง
- ไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ LASIK
แม้ว่า LASIK จะเป็นวิธีรักษาที่ทันสมัยและมีอัตราความสำเร็จสูง แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดในสังคมที่ทำให้บางคนลังเลจะเข้ารับการผ่าตัด เช่น
- LASIK เจ็บมาก — ในความจริงแล้วการผ่าตัดไม่เจ็บเลย เนื่องจากใช้ยาชาหยอดตา
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร — หากสายตาคงที่ก่อนผ่าตัด และไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานหลายสิบปี
- อาจตาบอดจากการทำเลสิค — ความเสี่ยงรุนแรงเช่นนี้แทบไม่มีในทางปฏิบัติ หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้เครื่องมือทันสมัย
เป้าหมายของบทความนี้
บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ครอบคลุมเกี่ยวกับการผ่าตัดเลสิค ตั้งแต่ขั้นตอนก่อนผ่าตัด ระหว่างการรักษา จนถึงการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด โดยจะอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ครอบคลุมทุกข้อสงสัยที่ผู้ที่กำลังพิจารณาเลสิคอาจมี
หากคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่สนใจการแก้ไขสายตาด้วยเลสิค บทความนี้จะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ มีข้อมูลครบถ้วน และพร้อมรับมือกับสิ่งที่ควรคาดหวังก่อน ระหว่าง และหลังการผ่าตัด
2.ก่อนการผ่าตัดเลสิค: สิ่งที่คุณควรเตรียมตัวไว้
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัด LASIK ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้การผ่าตัดเอง เพราะมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัย ความแม่นยำของการรักษา และผลลัพธ์ระยะยาว การเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้การผ่าตัดผ่านไปได้อย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
1. เข้ารับการตรวจประเมินสภาพตาอย่างละเอียด
ก่อนจะตัดสินใจทำ LASIK ทุกคนต้องผ่านการตรวจประเมินโดยจักษุแพทย์อย่างละเอียด เพื่อประเมินว่าเหมาะสมกับการผ่าตัดหรือไม่ ตรวจที่เกี่ยวข้องได้แก่:
- การวัดความหนาของกระจกตา (Corneal Thickness)
เพื่อดูว่ามีเนื้อกระจกตาเพียงพอสำหรับการยิงเลเซอร์หรือไม่ - การวัดความโค้งของกระจกตา (Corneal Topography)
ตรวจหารอยนูนหรือความไม่สมดุลที่อาจบ่งชี้ถึงโรคกระจกตาย้วย - การวัดค่าสายตาและความคงที่ของสายตา (Refraction)
ต้องมีค่าสายตาคงที่อย่างน้อย 1 ปี จึงจะเหมาะสมสำหรับการทำเลสิค - การตรวจสุขภาพตาทั่วไป
เช่น ตรวจจอประสาทตา, ความดันลูกตา, การหลั่งน้ำตา
หากมีภาวะที่ไม่เหมาะสม เช่น กระจกตาบางผิดปกติ ตาแห้งขั้นรุนแรง หรือมีโรคทางตาอื่น แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาอื่นที่เหมาะสมกว่า เช่น PRK หรือการใส่เลนส์เสริมในตา (ICL)
2. หยุดใช้คอนแทคเลนส์ตามระยะเวลาที่กำหนด
คอนแทคเลนส์สามารถเปลี่ยนรูปร่างกระจกตาได้ชั่วคราว ทำให้การตรวจวัดค่าตาไม่แม่นยำ ดังนั้นควร:
- หยุดใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม อย่างน้อย 3–7 วันก่อนตรวจ
- หยุดใส่คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งหรือ RGP อย่างน้อย 2–3 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้นตามดุลยพินิจของแพทย์
หากตรวจทั้ง ๆ ที่ยังใส่คอนแทคเลนส์อยู่ อาจทำให้ค่าวัดคลาดเคลื่อน และส่งผลต่อความแม่นยำของการยิงเลเซอร์
3. แจ้งโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่
บางโรคประจำตัวหรือยาที่ใช้อาจมีผลต่อการฟื้นตัวหลังการผ่าตัด เช่น:
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น SLE): เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือแผลหายช้า
- โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้: ส่งผลต่อการฟื้นตัวของกระจกตา
- ยากลุ่ม corticosteroids หรือ isotretinoin: อาจส่งผลต่อกระบวนการหายของแผล
ควรแจ้งแพทย์ให้ครบถ้วน พร้อมทั้งยาที่กำลังใช้ รวมถึงวิตามินและอาหารเสริม
4. งดแต่งหน้าบริเวณรอบดวงตาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ แพทย์มักแนะนำให้งด:
- แต่งหน้าโดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา
- ใช้ครีมหรือโลชั่นที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง
ในวันผ่าตัด ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ไม่ทาเครื่องสำอาง ไม่ใช้น้ำหอม หรือผลิตภัณฑ์มีกลิ่นฉุน
5. พักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนการผ่าตัด
ร่างกายและดวงตาที่อยู่ในภาวะสมบูรณ์พร้อม จะช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะในผู้ที่มีความวิตกกังวล การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยลดความเครียด และลดความรู้สึกไวต่อแสงระหว่างผ่าตัด
6. เตรียมคนดูแลหรือพากลับบ้านหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดดวงตาจะไวต่อแสงและมองเห็นไม่ชัดในช่วงแรก การเดินทางคนเดียวอาจไม่ปลอดภัย ควรมี:
- คนพากลับบ้าน
- แว่นกันแดดกันแสงเพื่อปกป้องดวงตา
- งดขับรถหรือใช้จักรยานทันทีหลังผ่าตัด
7. วางแผนหยุดงานหรืองานที่ต้องใช้สายตา
แม้การฟื้นตัวจาก LASIK จะรวดเร็ว แต่ก็ควรเว้นกิจกรรมที่ใช้สายตาหนัก เช่น:
- การจ้องหน้าจอคอมนานเกิน 2 ชม.
- งานกลางแจ้งที่มีฝุ่นละออง
- ว่ายน้ำ หรือเล่นกีฬาหนัก
หากมีเวลาหยุดพักงานประมาณ 2–3 วันหลังผ่าตัด จะช่วยให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น
การเตรียมตัวก่อนทำเลสิคไม่ใช่เพียงแค่การเตรียมร่างกาย แต่ยังเป็นการเตรียมใจให้พร้อมรับกับกระบวนการผ่าตัดและการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นที่จะเกิดขึ้น การเข้าใจขั้นตอนต่าง ๆ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
3.ระหว่างการผ่าตัดเลสิค: ขั้นตอน LASIK ที่คุณควรทราบ
สำหรับผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดเลสิค (LASIK) ความเข้าใจในขั้นตอนระหว่างการผ่าตัดจะช่วยลดความวิตกกังวล และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเตรียมตัวและจิตใจได้ดีมากขึ้น แม้จะเป็นการผ่าตัดที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยและปลอดภัย แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่หลายคนจะรู้สึกประหม่า เพราะเป็นการผ่าตัดดวงตาโดยตรง
บทนี้จะอธิบายอย่างละเอียดถึงกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องผ่าตัด ตั้งแต่ก้าวเข้าไปจนเสร็จสิ้นการรักษา เพื่อให้คุณมั่นใจว่า ทุกขั้นตอนมีมาตรฐาน มีการควบคุมความปลอดภัย และอยู่ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
1. การเตรียมตัวก่อนเข้าห้องผ่าตัด
เมื่อถึงเวลานัดผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการเตรียมความพร้อมดังนี้:
- ตรวจย้ำค่าสายตาและพารามิเตอร์ต่าง ๆ ที่ได้จากการประเมินก่อนหน้านี้ เพื่อความแม่นยำ
- ทำความสะอาดใบหน้าและรอบดวงตา ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หยอดยาชาเฉพาะที่ลงบนดวงตา ไม่ใช่ยาสลบ จึงไม่จำเป็นต้องงดน้ำงดอาหาร
- สวมชุดปลอดเชื้อและหมวกคลุมผม พร้อมให้นอนบนเตียงผ่าตัดเลเซอร์
บรรยากาศในห้องผ่าตัดจะเป็นห้องปลอดเชื้อที่ควบคุมความชื้น อุณหภูมิ และฝุ่นละอองโดยเฉพาะ เครื่องเลเซอร์จะถูกตั้งค่าล่วงหน้าตามข้อมูลที่ได้จากการวัดสายตาอย่างละเอียดก่อนหน้านี้
2. การสร้าง Flap กระจกตา (Corneal Flap)
ขั้นตอนนี้เป็นหัวใจสำคัญของการผ่าตัดเลสิค โดยมีจุดประสงค์เพื่อเปิดชั้นกระจกตาบางส่วน เพื่อให้เลเซอร์สามารถปรับรูปร่างกระจกตาชั้นลึกได้
วิธีที่ใช้ในการสร้าง Flap มี 2 ประเภท:
🔹 Microkeratome (ใบมีดขนาดเล็ก)
เป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ใบมีดบางมากในการกรีดกระจกตา เทคนิคนี้ยังใช้ในบางกรณีที่เครื่องเลเซอร์ไม่สามารถใช้งานได้
🔹 Femtosecond Laser (เลเซอร์เฟมโตวินาที)
เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่แม่นยำและปลอดภัยมากกว่า ใช้พลังงานเลเซอร์ควบคุมความลึกได้ระดับไมครอน สร้าง Flap ได้บางและขอบเรียบ ส่งผลให้แผลสมานเร็ว และลดภาวะแทรกซ้อน
เมื่อสร้าง Flap เสร็จแล้ว แพทย์จะเปิด Flap ขึ้นเบา ๆ เพื่อเตรียมพื้นที่ยิงเลเซอร์
3. การปรับค่าสายตาด้วย Excimer Laser
หลังจากเปิด Flap แล้ว เครื่อง Excimer Laser จะเริ่มทำงาน ซึ่งเป็นเลเซอร์เย็นที่ใช้ลบเนื้อเยื่อกระจกตาออกอย่างแม่นยำตามค่าสายตาของแต่ละคน
ลักษณะเด่นของ Excimer Laser:
- ไม่ทำให้เกิดความร้อนกับกระจกตา
- ปรับความโค้งของกระจกตาได้ตามที่โปรแกรมไว้
- ยิงเลเซอร์ด้วยความเร็วสูง ใช้เวลาเฉลี่ย 10–30 วินาทีต่อข้าง
ระหว่างยิงเลเซอร์ ผู้ป่วยจะต้องมองจุดไฟสีเขียวหรือสีแดงอย่างต่อเนื่อง เครื่องจะมีระบบติดตามดวงตาอัตโนมัติ (Eye Tracking) ซึ่งช่วยให้เลเซอร์ยิงตรงจุดแม้มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย
4. การปิด Flap และจบกระบวนการ
เมื่อยิงเลเซอร์เสร็จแล้ว แพทย์จะปิด Flap กลับเข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง โดยไม่ต้องเย็บแผล เนื่องจากชั้นกระจกตาจะยึดติดกันด้วยแรงยึดตามธรรมชาติ
- ใช้เวลารอให้ Flap แนบสนิทประมาณ 2–5 นาที
- หยอดยาปฏิชีวนะและยาลดการอักเสบลงในดวงตา
- ปิดฝาครอบตา (eye shield) เพื่อป้องกันการขยี้ตาโดยไม่ตั้งใจ
- แพทย์จะให้ผู้ป่วยนั่งพักประมาณ 15–30 นาที ก่อนกลับบ้าน
5. ใช้เวลานานแค่ไหน?
โดยเฉลี่ยแล้วการผ่าตัดเลสิคใช้เวลาทั้งหมดเพียง 15–30 นาที สำหรับดวงตาทั้งสองข้าง โดยขั้นตอนยิงเลเซอร์จริง ๆ ใช้เวลาข้างละไม่เกิน 1 นาที
แต่ผู้ป่วยอาจต้องเผื่อเวลาในการตรวจเช็กก่อน–หลังผ่าตัด และพักฟื้นก่อนกลับบ้านรวมประมาณ 1.5–2 ชั่วโมง
6. ความรู้สึกขณะทำเลสิค
แม้จะเป็นการผ่าตัดดวงตา แต่ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บ เพราะใช้ยาชาหยอดตา แต่อาจมีความรู้สึกดังนี้:
- กดเบา ๆ รอบดวงตาขณะใส่อุปกรณ์ถ่างตา
- แสงจ้าระหว่างยิงเลเซอร์
- กลิ่นเหมือนไหม้ขณะยิงเลเซอร์ (เกิดจากเนื้อเยื่อกระจกตาถูกระเหย)
- มองเห็นเบลอช่วงสั้น ๆ ระหว่างเปิด Flap
สิ่งสำคัญคือผู้ป่วยต้อง นิ่ง และ จ้องตามจุดไฟ ตามคำแนะนำแพทย์เพื่อความแม่นยำ
7. หลังทำเสร็จแล้วต้องทำอย่างไร?
หลังออกจากห้องผ่าตัด:
- หลีกเลี่ยงการเปิดตาโดยไม่จำเป็น
- ห้ามขยี้ตา
- ควรใส่แว่นกันแดดตลอดการเดินทางกลับบ้าน
- งดใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือจ้องแสงจ้า
อาการทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นภายใน 6 ชั่วโมงแรก ได้แก่ แสบตา น้ำตาไหล หรือรู้สึกเหมือนมีเม็ดทรายในตา อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นในวันถัดไป
การเข้าใจทุกขั้นตอนระหว่างผ่าตัดเลสิคจะช่วยให้คุณเตรียมใจได้ดีขึ้น และสามารถร่วมมือกับแพทย์ได้อย่างเต็มที่ เพิ่มโอกาสให้การรักษาประสบความสำเร็จและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจในระยะยาว
4.หลังผ่าตัดเลสิค: การดูแลหลัง LASIK เพื่อการฟื้นตัวที่ปลอดภัย
การดูแลหลังผ่าตัดเลสิคเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แม้การรักษาจะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่การฟื้นตัวและผลลัพธ์ระยะยาวจะดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ป่วยหลังผ่าตัดโดยตรง การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ, การสมานแผลที่ไม่สมบูรณ์, หรือการเสื่อมของค่าสายตาในอนาคต
ในบทนี้ เราจะพาคุณไปเรียนรู้วิธีการดูแลตัวเองหลังเลสิคอย่างละเอียด เพื่อให้คุณมั่นใจว่ากำลังมุ่งไปสู่การฟื้นตัวที่ดีที่สุด
1. อาการที่อาจพบหลังผ่าตัดในช่วง 24–48 ชั่วโมงแรก
หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักพบอาการบางอย่างที่ถือว่า “ปกติ” ได้แก่:
- รู้สึกแสบตา เคืองตา หรือเหมือนมีเศษฝุ่นในตา
- น้ำตาไหลหรือมองเห็นภาพเบลอเล็กน้อย
- ไวต่อแสงจ้า (Photophobia)
- มองเห็นแสงกระจายตอนกลางคืน (Glare/halos)
อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1–2 วัน หากมีอาการรุนแรง เช่น ปวดตาอย่างมาก หรือเห็นแสงแฟลช ควรติดต่อแพทย์ทันที
2. ข้อควรปฏิบัติหลังทำเลสิค (DOs)
เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้:
✅ หยอดยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- ยาปฏิชีวนะ: ป้องกันการติดเชื้อ
- ยาลดการอักเสบ: ลดอาการบวมและระคายเคือง
- น้ำตาเทียม: เพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา
ให้หยอดตามเวลา แม้ไม่มีอาการผิดปกติก็ตาม
✅ ใส่แว่นกันแดดทุกครั้งเมื่อต้องออกนอกบ้าน
เพื่อป้องกันแสงแดด ฝุ่นละออง และลมที่จะกระตุ้นอาการระคายเคือง
✅ สวม Eye Shield ขณะนอนหลับ
โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรก เพื่อป้องกันการขยี้ตาขณะหลับโดยไม่รู้ตัว
✅ พักสายตาให้เพียงพอ
งดใช้งานสายตาหนัก ๆ เช่น อ่านหนังสือ จ้องคอมพิวเตอร์ หรือมือถือ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง
✅ เข้ารับการตรวจติดตามผลตามนัด
ปกติจะนัดตรวจในวันถัดไป, สัปดาห์ถัดไป และ 1 เดือนหลังผ่าตัด เพื่อประเมินการสมานของแผลและคุณภาพการมองเห็น
3. ข้อห้ามหลังผ่าตัดเลสิค (DON’Ts)
การละเลยข้อห้ามอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผลการรักษา
❌ ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด
เพราะ Flap กระจกตายังไม่สมานเต็มที่ การขยี้อาจทำให้ Flap เคลื่อน หรือหลุด
❌ ห้ามให้น้ำประปาหรือสบู่เข้าตา
โดยเฉพาะในช่วง 7 วันแรก แนะนำให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอบดวงตาเบา ๆ แทนการล้างหน้า
❌ ห้ามแต่งหน้าในบริเวณรอบดวงตา
ควรงดแต่งหน้าอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันสารเคมีหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ดวงตา
❌ ห้ามว่ายน้ำและดำน้ำ
- งดว่ายน้ำในสระหรือทะเลอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดดำน้ำอย่างน้อย 4 สัปดาห์
เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
❌ ห้ามออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่เสี่ยงกระแทกดวงตา
กิจกรรมเช่น วิ่ง, ยกน้ำหนัก, ฟุตบอล หรือมวย ควรเว้นอย่างน้อย 1 สัปดาห์
4. การฟื้นตัวในแต่ละช่วงเวลา
ระยะเวลา | สิ่งที่เกิดขึ้น | สิ่งที่ควรทำ |
6–12 ชั่วโมงแรก | แสบ เคือง น้ำตาไหล | หลับพักสายตา ใช้ eye shield |
วันที่ 1–2 | เริ่มมองเห็นชัดขึ้น | หยอดยา, งดใช้สายตานาน |
สัปดาห์แรก | อาจยังเห็น glare ตอนกลางคืน | ตรวจติดตาม, งดแต่งหน้า |
สัปดาห์ที่ 2–4 | การมองเห็นคงที่ | ค่อย ๆ กลับไปทำกิจกรรมเบาได้ |
เดือนที่ 1–3 | คุณภาพการมองเห็นสมบูรณ์ | หยอดน้ำตาเทียมเสริมความชุ่มชื้น |
5. อาการที่ควรแจ้งแพทย์ทันที
หากพบอาการต่อไปนี้หลังผ่าตัดเลสิค ควรติดต่อแพทย์โดยเร็ว:
- ปวดตาอย่างรุนแรง
- ตามัวลงอย่างเฉียบพลัน
- เห็นแสงแฟลชหรือเงาดำ (floaters)
- ขี้ตาเขียวหรือเหลืองจำนวนมาก
- แผลกระจกตาดูไม่เรียบ
6. การฟื้นตัวระยะยาว
แม้สายตาจะชัดเร็วใน 1–2 วัน แต่การฟื้นตัวสมบูรณ์อาจใช้เวลา 1–3 เดือน:
- แพทย์อาจแนะนำให้หยอดน้ำตาเทียมต่อเนื่อง
- หลีกเลี่ยงสถานที่มีฝุ่น ลมแรง หรือแสงจ้า
- ควรตรวจสุขภาพตาประจำปี
ผู้ที่มีอาการตาแห้งมาก อาจต้องใช้เจลหล่อลื่นหรือเข้ารับการรักษาเพิ่มเติม เช่น การปิดรูน้ำตาชั่วคราว (punctal plug)
การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดเลสิคคือหัวใจของความสำเร็จในการรักษา การฟื้นตัวที่ดีและปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของเวลาเพียงอย่างเดียว แต่คือผลรวมของวินัย ความระมัดระวัง และความใส่ใจของตัวผู้ป่วยเอง ร่วมกับการติดตามดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด
5.ข้อดีของการทำ LASIK เพื่อแก้ไขสายตาอย่างถาวร
LASIK ไม่เพียงเป็นการรักษาภาวะสายตาผิดปกติ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ป่วยจำนวนมากที่สามารถกลับมามองเห็นชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป ในบทนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับข้อดีที่โดดเด่นของการผ่าตัดเลสิค ทั้งในแง่ทางการแพทย์และผลกระทบเชิงคุณภาพชีวิต เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบว่าการทำเลสิคเหมาะกับคุณหรือไม่
1. ผลลัพธ์แม่นยำและรวดเร็ว
การผ่าตัดเลสิคสามารถปรับความโค้งของกระจกตาได้อย่างแม่นยำด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ขั้นสูง เช่น Excimer Laser และ Femtosecond Laser ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ทำให้ผลการรักษามีความสม่ำเสมอและเชื่อถือได้
- ผู้ป่วยกว่า 95% มีค่าสายตากลับมาอยู่ในช่วง ±1.0D ของสายตาปกติ
- การมองเห็นชัดเจนขึ้นทันทีในวันรุ่งขึ้นหลังผ่าตัด และปรับตัวเต็มที่ภายใน 1 สัปดาห์
2. ไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป
หนึ่งในเหตุผลหลักที่คนเลือกทำเลสิคคือการต้องการ “ปลดแอก” จากการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ ซึ่งมักสร้างความไม่สะดวกในชีวิตประจำวัน เช่น:
- ความยุ่งยากในการล้างคอนแทคเลนส์
- การเกิดฝ้าบนแว่นเมื่อลงจากรถหรือใส่หน้ากาก
- ความไม่สะดวกในการเล่นกีฬา ว่ายน้ำ หรือออกกำลังกาย
หลังทำเลสิค ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ต้องพกอุปกรณ์ช่วยการมองเห็นอีกเลย ช่วยเพิ่มความคล่องตัวและความมั่นใจ
3. การผ่าตัดรวดเร็วและไม่เจ็บ
เลสิคถือเป็นหนึ่งในการผ่าตัดที่มีระยะเวลาในการดำเนินการสั้นมาก
- ใช้เวลาเพียง 15–30 นาที สำหรับดวงตาทั้งสองข้าง
- ไม่มีการใช้เข็มหรือมีดแบบผ่าตัดทั่วไป
- ใช้เพียงยาชาหยอดตา ไม่มีความเจ็บขณะผ่าตัด
- ไม่มีการเย็บแผล ทำให้ฟื้นตัวเร็ว
ความรวดเร็วและไม่เจ็บนี้ช่วยให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้สึกกลัวการผ่าตัด และสามารถกลับไปทำกิจกรรมเบา ๆ ได้ภายใน 24 ชั่วโมง
4. ฟื้นตัวเร็ว ใช้ชีวิตได้ปกติภายในไม่กี่วัน
ต่างจากการผ่าตัดประเภทอื่นที่อาจต้องนอนพักหลายวัน การทำเลสิคมีข้อได้เปรียบด้านการฟื้นตัวที่ชัดเจน:
- ภายใน 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยมักมองเห็นชัดเจนขึ้นชัดเจน
- ภายใน 48–72 ชั่วโมง ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงาน อ่านหนังสือ หรือขับรถได้
- ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดด้านเวลา เช่น นักศึกษา นักธุรกิจ หรือบุคคลที่ต้องทำงานนอกสถานที่ การฟื้นตัวที่เร็วของเลสิคถือเป็นจุดขายที่สำคัญ
5. ปลอดภัยและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
LASIK เป็นหนึ่งในการผ่าตัดที่มีงานวิจัยสนับสนุนมากที่สุดในวงการจักษุวิทยา มีการใช้งานมายาวนานกว่า 20 ปี และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
- ผ่านการรับรองจากองค์กรระดับสากล เช่น FDA (สหรัฐอเมริกา), CE (ยุโรป)
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกนิยมใช้วิธีนี้ในการรักษาภาวะสายตา
จากสถิติพบว่าอัตราความพึงพอใจของผู้ป่วยที่ทำเลสิคอยู่ที่ 90–95% โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีค่าสายตาคงที่และไม่มีปัญหาทางตาอื่น ๆ ร่วม
6. ผลลัพธ์ระยะยาวที่ยั่งยืน
ผู้ที่เข้ารับการรักษาเลสิคโดยมีค่าสายตาคงที่ มีโอกาสสูงที่จะไม่ต้องแก้ไขซ้ำเป็นเวลาหลายสิบปี
- การเปลี่ยนแปลงของสายตาหลังทำเลสิคเกิดขึ้นช้ามาก
- ผู้ป่วยจำนวนมากมีค่าสายตาคงที่ตลอดช่วงอายุ 20–40 ปี
อย่างไรก็ตาม เมื่ออายุมากขึ้น (โดยเฉพาะช่วงหลัง 45 ปี) อาจมีภาวะสายตายาวตามวัย (presbyopia) ซึ่งเป็นเรื่องปกติและไม่เกี่ยวกับเลสิคโดยตรง
7. เพิ่มคุณภาพชีวิตในด้านจิตใจและบุคลิกภาพ
หลายคนที่ต้องใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์มาตลอดชีวิต อาจรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อต้องเข้าสังคม ทำงาน พบปะลูกค้า หรือแม้แต่ตอนถ่ายรูป การมองเห็นที่ชัดเจนหลังทำเลสิคช่วยให้:
- เพิ่มความมั่นใจในบุคลิกภาพ
- ปรับทัศนคติในการใช้ชีวิตให้กระฉับกระเฉงมากขึ้น
- ลดความรู้สึกไม่มั่นคงหรือกลัวลืมอุปกรณ์ช่วยการมองเห็น
8. ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว
แม้ค่าใช้จ่ายของการทำเลสิคจะสูงในระยะสั้น แต่ในระยะยาว การไม่ต้องซื้อแว่นใหม่ คอนแทคเลนส์ น้ำยาล้าง หรือค่าตรวจสายตาซ้ำ ๆ จะช่วยประหยัดเงินได้มาก:
รายการ | ค่าใช้จ่ายต่อปีโดยเฉลี่ย |
คอนแทคเลนส์ + น้ำยา | 6,000–12,000 บาท |
แว่นตา | 3,000–10,000 บาท |
ค่าตรวจสายตา/เปลี่ยนเลนส์ | 1,000–2,000 บาท |
รวมแล้วใน 10 ปี อาจสูงถึง 100,000–200,000 บาท ในขณะที่การทำเลสิคส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายครั้งเดียว และไม่ต้องมีค่าบำรุงรักษาเพิ่มเติม
LASIK ไม่ใช่เพียงการรักษาทางการแพทย์ แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพตาและคุณภาพชีวิตในระยะยาว การตัดสินใจทำเลสิคควรอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ความเข้าใจ และการปรึกษาจักษุแพทย์อย่างรอบด้าน
6.ข้อควรระวังและความเสี่ยงจากการทำเลสิค
แม้ว่า LASIK จะเป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยสูงและประสบความสำเร็จในระดับสากล แต่อย่างไรก็ดี ก็เช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ ที่มีความเป็นไปได้ของผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในบางกรณี ผู้ที่กำลังตัดสินใจทำเลสิคจึงควรเข้าใจทั้ง ข้อควรระวัง และ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น อย่างถี่ถ้วน เพื่อเตรียมตัวรับมือและมีความคาดหวังที่เป็นจริง
1. ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome)
ภาวะตาแห้งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุดหลังทำเลสิค โดยเฉพาะในช่วง 3–6 เดือนแรก เนื่องจากการยิงเลเซอร์ส่งผลกระทบต่อปลายประสาทที่ควบคุมการหลั่งน้ำตา
อาการ:
- แสบตา เคืองตา
- รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
- มองเห็นไม่คมชัดในบางช่วงเวลา
แนวทางป้องกันและรักษา:
- หยอดน้ำตาเทียมอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้เจลหล่อลื่นตาในเวลากลางคืน
- การปิดรูน้ำตาชั่วคราว (punctal plug) ในผู้ที่ตาแห้งรุนแรง
ภาวะนี้มักดีขึ้นได้เองเมื่อเส้นประสาทในกระจกตาฟื้นตัวสมบูรณ์
2. ค่าสายตากลับมาเปลี่ยนแปลง (Regression)
ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจพบว่าวิสัยทัศน์เริ่มพร่ามัวเล็กน้อยหลังผ่านไปหลายปี นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ภาวะถดถอยของสายตา หรือ regression
สาเหตุ:
- การเปลี่ยนแปลงตามอายุ
- การใช้สายตาหนัก
- ความไม่เสถียรของกระจกตา
แนวทางรับมือ:
- ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการทำ LASIK เพิ่มเติม (enhancement)
- ใส่แว่นสายตาบางเบาช่วยเฉพาะเวลา (เฉพาะในบางคน)
อัตราการเกิดภาวะนี้อยู่ในช่วง 1–3% เท่านั้น โดยมักเกิดในผู้ที่มีค่าสายตาสูงมากหรือกระจกตาบางแต่แรก
3. แสงกระจายตอนกลางคืน (Glare, Halos, Starbursts)
ภาวะแสงกระจายหรือเห็นวงแสงรอบดวงไฟในเวลากลางคืนเป็นอาการที่บางคนพบหลังทำเลสิค โดยเฉพาะในช่วงแรก
อาการ:
- มองเห็นแสงกระจายจากไฟถนนหรือไฟหน้ารถ
- รบกวนการขับขี่เวลากลางคืน
แนวทางป้องกัน:
- ส่วนใหญ่จะหายไปเองใน 3–6 เดือน
- ใช้แว่นกรองแสงตอนกลางคืนช่วยลดแสงกระจาย
- เลือกเทคโนโลยีที่มีการคำนวณ pupil zone และ wavefront-guided LASIK
4. Flap Complications (ภาวะแทรกซ้อนจากชั้นกระจกตาที่เปิด)
แม้จะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ Flap ที่สร้างขึ้นในขั้นตอน LASIK อาจเกิดปัญหาได้ เช่น:
- Flap เคลื่อนหรือยับในช่วงแรกหากขยี้ตาแรง
- มีเศษฝุ่นหรือน้ำตาเข้าไปใต้ Flap
- เกิดภาวะ epithelial ingrowth (เซลล์หนังกำพร้าแทรกตัวเข้าไปใต้ Flap)
แนวทางป้องกัน:
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาอย่างเด็ดขาดในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- สวม eye shield ขณะนอนหลับ
- ตรวจติดตามตามนัด หากมีภาวะแทรกซ้อนแพทย์สามารถเปิด Flap และแก้ไขได้
5. การมองเห็นไม่สมบูรณ์แบบ (Undercorrection หรือ Overcorrection)
ในบางกรณี การยิงเลเซอร์อาจไม่แม่นยำ 100% ซึ่งอาจทำให้ค่าสายตาหลังผ่าตัดยังคงผิดปกติอยู่เล็กน้อย
- Undercorrection: การยิงเลเซอร์ไม่เพียงพอ
- Overcorrection: การยิงมากเกินไป ทำให้เกิดสายตายาวแฝง
แนวทางรับมือ:
- การทำ LASIK เพิ่มเติม (Enhancement) เมื่อค่าสายตาคงที่หลัง 3–6 เดือน
- ใส่แว่นบาง ๆ เพื่อแก้ไขเล็กน้อยเฉพาะกิจ
อย่างไรก็ดี การใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ wavefront และการวางแผนอย่างละเอียดก่อนผ่าตัดจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้มาก
6. ความเสี่ยงที่เกี่ยวกับจอประสาทตาและจุดภาพชัด
มีรายงานที่พบว่าการเปลี่ยนแปลงความดันภายในลูกตาขณะสร้าง Flap อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะจอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดร่อน โดยเฉพาะในผู้ที่มีสายตาสั้นมากหรือจอประสาทตาบางผิดปกติ
การป้องกัน:
- ตรวจจอประสาทตาก่อนผ่าตัดอย่างละเอียด
- หากพบความผิดปกติ อาจแนะนำให้ทำ PRK หรือ ICL แทน
7. ข้อจำกัดในอนาคต
- ไม่สามารถทำ เลสิค ซ้ำได้หลายครั้ง หากเนื้อกระจกตาเหลือน้อย
- ผู้ที่อายุเกิน 45 ปี ยังอาจต้องใส่แว่นอ่านหนังสือ (ภาวะสายตายาวตามวัย)
- หากต้องเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกในอนาคต ต้องแจ้งประวัติว่าเคยทำเลสิค เพื่อให้แพทย์คำนวณเลนส์เทียมได้อย่างถูกต้อง
8. ไม่เหมาะกับทุกคน
แม้เลสิคจะเหมาะกับผู้ที่มีสายตาคงที่ แต่ไม่แนะนำในผู้ที่มีลักษณะเหล่านี้:
- กระจกตาบางผิดปกติ
- โรคตาแห้งรุนแรง
- โรคภูมิคุ้มกันอัตโนมัติ
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ค่าสายตายังไม่คงที่
สรุป: เข้าใจความเสี่ยงเพื่อความปลอดภัย
การทำเลสิคไม่ใช่การรักษาที่ไร้ความเสี่ยง 100% แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญของจักษุแพทย์ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นสามารถลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยที่มีความเข้าใจในข้อควรระวังและมีวินัยในการดูแลตนเองหลังผ่าตัด ย่อมมีโอกาสได้รับผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน