แมมโมแกรม

แมมโมแกรม (Mammogram)

คือหนึ่งในวิธี การตรวจเต้านม ที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำสูงและเป็นมาตรฐานสากลในการ ตรวจคัดกรองมะเร็ง โดยเฉพาะ มะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นโรคที่พบมากที่สุดในผู้หญิงทั่วโลก การ ตรวจ แมมโมแกรม ใช้เทคนิคถ่ายภาพรังสีเอกซ์ปริมาณต่ำเพื่อตรวจดูเนื้อเยื่อภายในเต้านม ช่วยค้นหาความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ จุดแคลเซียมเกาะ หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต่าง ๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ในหลายประเทศ การทำ Screening mammogram เป็นมาตรการสำคัญเพื่อค้นหา มะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น ในผู้หญิงที่ไม่มีอาการ ในขณะที่ Diagnostic mammogram ใช้สำหรับผู้ที่มีอาการหรือพบสิ่งผิดปกติจากการตรวจครั้งก่อน การตรวจทั้งสองประเภทมีเป้าหมายร่วมกันคือการตรวจพบโรคให้เร็วที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสรักษาหายและลดอัตราการเสียชีวิต ในประเทศไทย การตรวจแมมโมแกรม กำลังได้รับการส่งเสริมมากขึ้นโดยมีการใช้ร่วมกับ อัลตราซาวด์เต้านม ในบางกรณีเพื่อเพิ่มความแม่นยำ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่นหรือมีปัจจัยเสี่ยงสูง การตระหนักถึงความสำคัญของการ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม เป็นประจำจึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพเต้านมของผู้หญิงไทย


แมมโมแกรม
Mammogram
อัลตราซาวด์เต้านม
Screening
การตรวจแมมโมแกรม
แมมโมแกรม Mammogram อัลตราซาวด์เต้านม Screening การตรวจแมมโมแกรม

แมมโมแกรม (Mammogram) คืออะไร? คู่มือการตรวจเต้านมเพื่อป้องกันและค้นหามะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น

คือการตรวจเต้านมด้วยรังสีเอกซ์ (X-ray) ปริมาณต่ำ ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อค้นหาความผิดปกติในเนื้อเยื่อเต้านมอย่างละเอียด ขั้นตอนนี้เป็นหนึ่งในวิธีการ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการตรวจพบ มะเร็งเต้านม ในระยะเริ่มต้น แม้ในกรณีที่ยังไม่มีอาการหรือไม่สามารถคลำก้อนได้ด้วยตนเอง

ปัจจุบัน การตรวจแมมโมแกรม ได้กลายเป็นมาตรฐานการดูแลสุขภาพผู้หญิงในหลายประเทศ โดยมักแนะนำให้เริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป หรือเร็วกว่านั้นในกลุ่มผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือมียีนกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ การตรวจอย่างสม่ำเสมอช่วยให้สามารถพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้มีโอกาสรักษาหายและลดความรุนแรงของการรักษา

จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) มะเร็งเต้านม เป็นโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิงทั่วโลก ปี 2020 พบผู้ป่วยใหม่ประมาณ 2.3 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตกว่า 685,000 ราย สำหรับประเทศไทย ปี 2022 มีรายงานผู้ป่วยมะเร็งเต้านมใหม่จำนวน 38,559 ราย คิดเป็น 32.6% ของมะเร็งทั้งหมดในผู้หญิงไทย ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการเข้ารับ การตรวจเต้านม และการ ตรวจคัดกรองมะเร็ง อย่างต่อเนื่อง

นอกจากแมมโมแกรมแล้ว ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ทำ อัลตราซาวด์เต้านม ร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น (Dense Breast Tissue) เพราะอาจบดบังการมองเห็นความผิดปกติในภาพรังสีของแมมโมแกรม การผสมผสานเทคนิคการตรวจเหล่านี้ช่วยให้การวินิจฉัยมีความถูกต้องและครอบคลุมมากขึ้น

ดังนั้น การทำ แมมโมแกรม จึงไม่ใช่เพียงแค่ขั้นตอนทางการแพทย์ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องสุขภาพผู้หญิงไทย ช่วยลดความเสี่ยงจาก มะเร็งเต้านม และเพิ่มโอกาสรอดชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ การสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการเข้าถึงบริการตรวจแมมโมแกรมอย่างทั่วถึง จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดภาระของโรคนี้ทั้งในระดับบุคคลและสังคม


แมมโมแกรม คืออะไร? (What is a Mammogram?)

คือวิธีการ ตรวจเต้านม โดยใช้รังสีเอกซ์ปริมาณต่ำเพื่อสร้างภาพรายละเอียดของเนื้อเยื่อภายในเต้านม ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติที่อาจไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยการตรวจร่างกายปกติ การตรวจนี้ถือเป็นหนึ่งในวิธี ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ที่ได้รับการแนะนำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาคมโรคมะเร็งในหลายประเทศ เนื่องจากสามารถตรวจพบ มะเร็งเต้านม ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

หลักการทำงานของแมมโมแกรม

การตรวจแมมโมแกรมจะใช้เครื่องเอ็กซ์เรย์พิเศษสำหรับถ่ายภาพเต้านมโดยเฉพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระจายรังสีต่ำ แต่ยังคงความคมชัดของภาพ ภาพที่ได้จะถูกอ่านและประเมินโดยรังสีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการตรวจเต้านม จุดเด่นของแมมโมแกรมคือสามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติ เช่น

  • ก้อนเนื้อ (Mass) ที่มีขนาดเล็กมาก
  • จุดแคลเซียมเกาะ (Microcalcifications) ที่อาจบ่งบอกถึงมะเร็งระยะเริ่มแรก
  • ความผิดปกติของโครงสร้างเนื้อเยื่อ (Architectural Distortion)

ความแตกต่างระหว่างแมมโมแกรมกับการตรวจเต้านมแบบอื่น

แมมโมแกรมต่างจากการ อัลตราซาวด์เต้านม และ MRI เต้านม ในหลายด้าน เช่น

  • แมมโมแกรม เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองในผู้หญิงทั่วไป โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป
  • อัลตราซาวด์เต้านม เหมาะสำหรับผู้ที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น หรือใช้เป็นการตรวจเสริมในกรณีที่แมมโมแกรมพบสิ่งผิดปกติ
  • MRI เต้านม ใช้ในผู้ที่มีความเสี่ยงสูงมาก เช่น มียีน BRCA1 หรือ BRCA2 กลายพันธุ์ หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมหลายราย

จุดเด่นของการตรวจแมมโมแกรม

  1. ตรวจพบก้อนเนื้อหรือจุดแคลเซียมที่เล็กมากจนยังไม่แสดงอาการ
  2. ใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 20–30 นาที)
  3. เป็นมาตรฐานการตรวจคัดกรองที่ใช้ทั่วโลก

ความปลอดภัยของแมมโมแกรม

แม้ว่าการตรวจจะใช้รังสีเอกซ์ แต่ปริมาณรังสีที่ใช้ต่ำมาก จนอยู่ในระดับที่ถือว่าปลอดภัยต่อร่างกาย การตรวจเพียงปีละ 1–2 ครั้งไม่มีผลสะสมที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม หากผู้รับการตรวจตั้งครรภ์ ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าเพื่อพิจารณาวิธีตรวจที่เหมาะสม


บทนี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจชัดเจนว่า แมมโมแกรม คืออะไร ใช้ตรวจอย่างไร และมีความแตกต่างจากวิธีตรวจเต้านมแบบอื่น ๆ อย่างไร เพื่อปูพื้นฐานก่อนเข้าสู่บทต่อไปที่เราจะลงรายละเอียดเรื่อง ประเภทของแมมโมแกรม


ประเภทของแมมโมแกรม (Types of Mammogram)

การ ตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ Screening Mammogram และ Diagnostic Mammogram ซึ่งทั้งสองประเภทมีจุดมุ่งหมายและกลุ่มผู้ตรวจแตกต่างกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้ผู้หญิงเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความเสี่ยงของตนเอง


1. Screening Mammogram – การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม

Screening mammogram คือการ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ในผู้หญิงที่ ไม่มีอาการผิดปกติของเต้านม จุดประสงค์คือเพื่อค้นหาความผิดปกติหรือ มะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น ก่อนที่จะมีอาการใด ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาให้ได้ผลดี

กลุ่มเป้าหมายที่ควรทำ Screening mammogram

  • ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุก 1–2 ปี
  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม หรือเคยมีการตรวจพบความผิดปกติในเต้านมมาก่อน

ข้อดีของ Screening mammogram

  • ตรวจพบความผิดปกติที่ไม่สามารถคลำเจอได้
  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม
  • ใช้เวลาตรวจไม่นานและไม่ต้องพักฟื้น

2. Diagnostic Mammogram – การตรวจเพื่อวินิจฉัย

Diagnostic mammogram คือการตรวจแมมโมแกรมในผู้ที่ มีอาการผิดปกติของเต้านม หรือมีผลการตรวจจาก Screening mammogram ที่พบความผิดปกติและต้องตรวจเพิ่มเติม การตรวจชนิดนี้มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์อย่างละเอียดในบริเวณที่สงสัยว่ามีปัญหา

สัญญาณหรืออาการที่ควรเข้ารับ Diagnostic mammogram

  • คลำพบก้อนเนื้อในเต้านม
  • มีอาการเจ็บหรือบวมผิดปกติ
  • มีเลือดหรือน้ำไหลออกจากหัวนม
  • การเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือผิวหนังบริเวณเต้านม

ความแตกต่างจาก Screening mammogram

  • ใช้มุมภาพและเทคนิคพิเศษมากกว่า เพื่อดูรายละเอียดเฉพาะจุด
  • ใช้เวลานานกว่าและอาจมีการตรวจร่วมกับ อัลตราซาวด์เต้านม เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
  • มักเป็นขั้นตอนที่สองหลังจากพบสิ่งผิดปกติจากการตรวจคัดกรอง

สรุปความแตกต่างระหว่าง Screening และ Diagnostic Mammogram

รายการเปรียบเทียบScreening MammogramDiagnostic Mammogram
วัตถุประสงค์คัดกรองในผู้ไม่มีอาการตรวจหาสาเหตุในผู้มีอาการหรือพบสิ่งผิดปกติ
ความถี่ในการตรวจทุก 1–2 ปีตามดุลยพินิจของแพทย์
ระยะเวลาตรวจสั้นกว่านานกว่า
การใช้เทคนิคพิเศษน้อยกว่ามากกว่า
กลุ่มเป้าหมายผู้หญิงทั่วไป ≥ 40 ปีผู้ที่มีอาการหรือผลตรวจคัดกรองผิดปกติ

ในบทต่อไป เราจะพูดถึง เหตุผลว่าทำไมผู้หญิงทุกคนควรตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำ เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ในเชิงป้องกันและรักษามะเร็งเต้านมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ทำไมผู้หญิงต้องตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำ

การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) ไม่ได้เป็นเพียงขั้นตอนทางการแพทย์ แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการดูแลสุขภาพผู้หญิง เนื่องจาก มะเร็งเต้านม เป็นโรคที่พบได้บ่อยและสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย แม้จะไม่มีปัจจัยเสี่ยงชัดเจนก็ตาม การตรวจอย่างสม่ำเสมอช่วยเพิ่มโอกาสตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งมีผลต่อการรักษาและการรอดชีวิตในระยะยาว


1. ตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น

การตรวจแมมโมแกรม มีความไวสูง สามารถตรวจพบ ก้อนเนื้อ หรือ จุดแคลเซียม ที่เล็กมากซึ่งไม่สามารถคลำเจอด้วยตนเองได้ การพบความผิดปกติในระยะที่มะเร็งยังไม่แพร่กระจายทำให้มีโอกาสรักษาหายสูง และมักไม่ต้องใช้วิธีการรักษาที่รุนแรง เช่น การให้เคมีบำบัดขนาดสูงหรือการผ่าตัดเต้านมทั้งหมด


2. ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม

องค์การอนามัยโลก (WHO) และงานวิจัยจากหลายประเทศยืนยันว่า การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยแมมโมแกรมอย่างต่อเนื่องสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงอายุ 40–69 ปี การตรวจอย่างสม่ำเสมอทุก 1–2 ปี ช่วยให้พบโรคก่อนที่จะแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น


3. การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อพบมะเร็งในระยะเริ่มแรก การรักษามักมีตัวเลือกมากขึ้น เช่น การผ่าตัดแบบสงวนเต้า (Breast Conserving Surgery) การฉายรังสีเฉพาะจุด หรือการใช้ยารักษามะเร็งเฉพาะทาง ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย


4. ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

การรักษามะเร็งเต้านมในระยะลุกลามต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลารักษานานกว่ามาก ในขณะที่ การตรวจแมมโมแกรม และตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้การรักษาเร็วขึ้นและลดค่าใช้จ่ายในภาพรวมได้อย่างมาก


5. เพิ่มความมั่นใจในสุขภาพ

การเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ผู้หญิงมั่นใจในสุขภาพของตนเองมากขึ้น เพราะหากผลตรวจปกติจะช่วยลดความกังวล และหากพบสิ่งผิดปกติก็สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างรวดเร็ว


ข้อมูลสถิติสำคัญ

  • ปี 2020 พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั่วโลก 2.3 ล้านราย เสียชีวิต 685,000 ราย
  • ประเทศไทย ปี 2022 พบผู้ป่วยมะเร็งเต้านมใหม่ 38,559 ราย คิดเป็น 32.6% ของมะเร็งในผู้หญิงทั้งหมด
    ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยแมมโมแกรมเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ทางเลือก

ในบทถัดไป เราจะพูดถึง แนวทางการตรวจแมมโมแกรม ในประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพว่าประเทศไทยอยู่ในระดับใดเมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล และจะช่วยให้วางแผนการตรวจได้เหมาะสมกับตนเอง


แนวทางการตรวจแมมโมแกรม ในประเทศไทยและต่างประเทศ

การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) เป็นวิธีการ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก แต่ในแต่ละประเทศอาจมีแนวทางและเกณฑ์การตรวจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสาธารณสุข งบประมาณ และโครงสร้างประชากร การทำความเข้าใจแนวทางเหล่านี้ช่วยให้ผู้หญิงสามารถวางแผนการตรวจแมมโมแกรม ให้เหมาะสมกับตนเอง


แนวทางในต่างประเทศ

1. สหรัฐอเมริกา

  • American Cancer Society (ACS) แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 40–44 ปี พิจารณาเริ่มตรวจ Screening mammogram
  • อายุ 45–54 ปี ควรตรวจแมมโมแกรม ทุกปี
  • อายุ 55 ปีขึ้นไป สามารถตรวจทุก 2 ปี หรือจะตรวจทุกปีก็ได้
  • กลุ่มเสี่ยงสูง (High risk) เช่น มียีน BRCA1/BRCA2 หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 30 ปี ร่วมกับ MRI เต้านม

2. ยุโรป

  • ส่วนใหญ่แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 50–69 ปี ตรวจ แมมโมแกรม ทุก 2 ปี
  • บางประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน มีโครงการตรวจคัดกรองระดับชาติครอบคลุมประชากรเกือบทั้งหมด

3. ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

  • แนะนำให้ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปตรวจ แมมโมแกรม ทุก 2 ปี
  • เกาหลีใต้มีการใช้ทั้ง แมมโมแกรม และ อัลตราซาวด์เต้านม ควบคู่กันในผู้ที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น

แนวทางในประเทศไทย

ประเทศไทยยังไม่มีโครงการตรวจ แมมโมแกรม ระดับชาติครอบคลุมทั้งประเทศเหมือนบางประเทศรายได้สูง แต่ได้เริ่มมีการส่งเสริมการตรวจผ่านหลายโครงการ เช่น

  • สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHSO) สนับสนุนการตรวจ แมมโมแกรม และอัลตราซาวด์เต้านมในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงสูง
  • โรงพยาบาลรัฐและเอกชนมีการจัดแพ็กเกจตรวจสุขภาพผู้หญิงที่รวม แมมโมแกรม และอัลตราซาวด์เต้านม
  • การรณรงค์ให้ความรู้เรื่อง การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ผ่านสื่อและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดือนแห่งการตระหนักรู้มะเร็งเต้านม (Breast Cancer Awareness Month)

เปรียบเทียบแนวทางการตรวจแมมโมแกรม ระหว่างประเทศ

ประเทศ / องค์กรอายุเริ่มตรวจความถี่การตรวจการตรวจเสริม
สหรัฐอเมริกา (ACS)40 ปีขึ้นไปทุก 1–2 ปีMRI เต้านมในกลุ่มเสี่ยงสูง
ยุโรป (ส่วนใหญ่)50 ปีขึ้นไปทุก 2 ปีไม่มีบังคับ แต่บางประเทศมี
ญี่ปุ่น/เกาหลีใต้40 ปีขึ้นไปทุก 2 ปีอัลตราซาวด์เต้านม
ไทย (NHSO/รพ.)40 ปีขึ้นไปตามคำแนะนำแพทย์อัลตราซาวด์เต้านม

ข้อสังเกต

  • ประเทศที่มีโครงการตรวจ แมมโมแกรมระดับชาติมักมีอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมต่ำกว่า
  • การมีระบบนัดหมายและติดตามผลที่มีประสิทธิภาพช่วยให้การคัดกรองประสบความสำเร็จมากขึ้น
  • ในประเทศไทย การเข้าถึงบริการยังขึ้นอยู่กับพื้นที่และงบประมาณ แต่แนวโน้มการขยายบริการมีมากขึ้น

ในบทถัดไป เราจะเข้าสู่ บทที่ 6: ขั้นตอนการตรวจแมมโมแกรม เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร ตั้งแต่ก่อนตรวจ ระหว่างตรวจ และหลังตรวจ เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำที่สุด


แมมโมแกรม
Mammogram
อัลตราซาวด์เต้านม
Screening
การตรวจแมมโมแกรม
แมมโมแกรม Mammogram อัลตราซาวด์เต้านม Screening การตรวจแมมโมแกรม

ขั้นตอนการตรวจแมมโมแกรม

การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) ไม่ได้ซับซ้อน แต่การเตรียมตัวอย่างถูกวิธีและเข้าใจกระบวนการจะช่วยให้ได้ภาพรังสีที่ชัดเจนและแม่นยำที่สุด รวมถึงช่วยลดความรู้สึกไม่สบายระหว่างตรวจ


1. การเตรียมตัวก่อนตรวจ แมมโมแกรม

1.1 เลือกวันตรวจที่เหมาะสม

  • ควรตรวจในช่วง 1 สัปดาห์หลังหมดประจำเดือน เพราะเนื้อเต้านมจะนุ่มและไม่คัดตึง
  • หลีกเลี่ยงการตรวจในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน

1.2 การแต่งกาย

  • เลือกใส่เสื้อแยกชิ้น (เสื้อกับกางเกง/กระโปรง) เพื่อถอดเสื้อส่วนบนได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการใส่เครื่องประดับคอและต่างหูขนาดใหญ่ในวันที่ตรวจ

1.3 หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บนผิวบริเวณเต้านมและรักแร้

  • ห้ามทาแป้ง ครีม โลชั่น โรลออน หรือสเปรย์ใต้วงแขน เพราะอาจทำให้เกิดจุดขาวบนภาพ แมมโมแกรม ซึ่งคล้ายกับจุดแคลเซียม

1.4 แจ้งข้อมูลสำคัญกับแพทย์หรือเจ้าหน้าที่

  • หากกำลังตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ ต้องแจ้งทันที
  • แจ้งประวัติการผ่าตัดเต้านม การใส่ซิลิโคน หรือการรักษาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • นำภาพ แมมโมแกรม ครั้งก่อนมาด้วย เพื่อใช้เปรียบเทียบ

2. ขั้นตอนระหว่างการตรวจแมมโมแกรม

2.1 การจัดท่าทาง

  • เจ้าหน้าที่จะให้ผู้รับการตรวจวางเต้านมบนแท่นถ่ายภาพ
  • ใช้แผ่นพลาสติกใสกดเต้านมให้แบนลงเพื่อลดความหนาและกระจายเนื้อเต้านมให้เห็นรายละเอียดชัดเจน

2.2 การถ่ายภาพรังสี

  • ถ่ายภาพจากหลายมุม เช่น มุมด้านบน–ล่าง (Cranio-caudal: CC) และมุมเฉียงด้านข้าง (Mediolateral oblique: MLO)
  • แต่ละมุมใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที

2.3 ความรู้สึกระหว่างตรวจ

  • อาจรู้สึกเจ็บตึงหรือไม่สบายขณะถูกกดเต้านม แต่จะหายทันทีเมื่อปล่อยแรงกด
  • ยิ่งเต้านมถูกกดให้แบนมาก ภาพที่ได้จะชัดและแม่นยำมากขึ้น

3. หลังการตรวจแมมโมแกรม

3.1 การประเมินผล

  • ภาพรังสีจะถูกส่งให้รังสีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอ่านและวิเคราะห์
  • ใช้ระบบรายงานเช่น BI-RADS (Breast Imaging Reporting and Data System) เพื่อบอกระดับความเสี่ยง

3.2 การติดตามผล

  • หากผลปกติ ให้ตรวจซ้ำตามรอบที่แพทย์แนะนำ (เช่น ทุก 1–2 ปี)
  • หากพบสิ่งผิดปกติ อาจต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย อัลตราซาวด์เต้านม หรือ MRI เต้านม

3.3 การใช้ชีวิตหลังตรวจ

  • สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่มีข้อจำกัดพิเศษ
  • หากมีรอยแดงหรือระคายเคืองบริเวณเต้านม สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการได้

สรุป
การเตรียมตัวและเข้าใจขั้นตอนการ ตรวจ แมมโมแกรม เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้การตรวจมีประสิทธิภาพ ภาพชัด และลดโอกาสต้องตรวจซ้ำโดยไม่จำเป็น ในบทถัดไป เราจะพูดถึง ความรู้สึกและผลข้างเคียงจากการตรวจ แมมโมแกรม เพื่อให้ผู้หญิงเข้าใจและเตรียมใจได้ดียิ่งขึ้น


ความรู้สึกและผลข้างเคียงจากการตรวจแมมโมแกรม

การ ตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาสั้นและมีความปลอดภัยสูง แต่ผู้หญิงหลายคนอาจกังวลเรื่องความรู้สึกขณะตรวจหรือผลข้างเคียงหลังตรวจ การทำความเข้าใจประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยให้ผู้เข้ารับการตรวจเตรียมตัวได้ดีและลดความกังวลลง


1. ความรู้สึกขณะตรวจแมมโมแกรม

1.1 ความรู้สึกเจ็บตึงหรือไม่สบาย

  • ระหว่างตรวจ เต้านมจะถูกกดด้วยแผ่นพลาสติกใสเพื่อให้เนื้อเต้านมแผ่ราบ ทำให้ภาพรังสีชัดเจนขึ้น
  • แรงกดนี้อาจทำให้รู้สึกเจ็บตึงหรือไม่สบายชั่วคราว โดยเฉพาะผู้ที่มีเนื้อเต้านมไวต่อความรู้สึก
  • ความรู้สึกนี้จะหายไปทันทีเมื่อปล่อยแรงกด

1.2 ระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจ

  • แม้การถ่ายภาพแต่ละมุมจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที แต่รวมทุกขั้นตอนใช้เวลาประมาณ 20–30 นาที
  • การรู้ว่าขั้นตอนใช้เวลาไม่นานจะช่วยให้ผ่อนคลายมากขึ้น

1.3 เคล็ดลับเพื่อลดความเจ็บ

  • เลือกวันตรวจในช่วง 1 สัปดาห์หลังหมดประจำเดือน
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีนก่อนตรวจเพราะอาจทำให้เต้านมไวต่อแรงกดมากขึ้น

2. ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการตรวจแมมโมแกรม

2.1 อาการปวดหรือระคายเคืองเล็กน้อย

  • บางคนอาจรู้สึกปวดเล็กน้อยบริเวณเต้านมหลังตรวจ ซึ่งมักหายเองภายใน 1–2 วัน
  • สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการได้

2.2 รอยแดงหรือรอยกด

  • เกิดจากแรงกดขณะถ่ายภาพ และจะจางหายภายในเวลาไม่นาน

2.3 ความกังวลจากผลตรวจ

  • หากผล แมมโมแกรม พบสิ่งผิดปกติ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งเสมอไป
  • อาจเป็นเพียงถุงน้ำเต้านม หรือความผิดปกติที่ไม่เป็นอันตราย แต่ต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล

3. ความปลอดภัยของการตรวจแมมโมแกรม

  • ปริมาณรังสีที่ใช้ในการ ตรวจ แมมโมแกรม ต่ำมากและอยู่ในระดับที่ปลอดภัย
  • การตรวจเพียงปีละ 1–2 ครั้งไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
  • หากตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาวิธีตรวจที่เหมาะสม

สรุป
แม้ว่าการตรวจ แมมโมแกรม อาจทำให้รู้สึกเจ็บตึงเล็กน้อย แต่เป็นเพียงชั่วคราวและไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ ประโยชน์จากการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีค่ามากกว่าความไม่สบายชั่วคราวที่เกิดขึ้น


ในบทถัดไป เราจะพูดถึง บทที่ 8: ข้อดีและข้อจำกัดของ แมมโมแกรม เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจภาพรวมทั้งด้านบวกและข้อจำกัดของการตรวจนี้ก่อนตัดสินใจเข้ารับบริการ


ข้อดีและข้อจำกัดของแมมโมแกรม

การ ตรวจแมมโมแกรม ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม และเป็นมาตรฐานการตรวจสุขภาพผู้หญิงในหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม แมมโมแกรม ก็มีข้อจำกัดที่ควรทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจ การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อจำกัดจะช่วยให้ผู้หญิงสามารถเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมกับตนเอง


1. ข้อดีของการตรวจ แมมโมแกรม

1.1 ตรวจพบมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น

  • สามารถตรวจพบความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ หรือ จุดแคลเซียมเกาะ ก่อนที่จะแสดงอาการ
  • ช่วยให้การรักษามีโอกาสหายสูงและใช้วิธีที่มีความรุนแรงน้อยกว่า

1.2 ลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม

  • งานวิจัยจากหลายประเทศยืนยันว่าการตรวจแมมโมแกรม อย่างต่อเนื่องลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • โดยเฉพาะในผู้หญิงอายุ 40–69 ปี

1.3 ใช้เวลาไม่นานและปลอดภัย

  • การตรวจใช้เวลาประมาณ 20–30 นาที
  • ปริมาณรังสีต่ำและอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อร่างกาย

1.4 เป็นมาตรฐานสากล

  • ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาคมโรคมะเร็งชั้นนำทั่วโลก เช่น American Cancer Society
  • มีแนวทางชัดเจนในเรื่องช่วงอายุและความถี่ในการตรวจ

2. ข้อจำกัดของการตรวจแมมโมแกรม

2.1 ประสิทธิภาพลดลงในผู้มีเนื้อเต้านมหนาแน่น

  • ผู้หญิงวัยหนุ่มสาวหรือบางคนที่มี Dense Breast Tissue อาจได้ภาพ แมมโมแกรม ที่มองเห็นความผิดปกติได้ยาก
  • ในกรณีนี้แพทย์มักแนะนำให้ตรวจเสริมด้วย อัลตราซาวด์เต้านม หรือ MRI เต้านม

2.2 ผลบวกเทียม (False Positive)

  • บางครั้ง แมมโมแกรม อาจแสดงว่ามีความผิดปกติ ทั้งที่ในความจริงไม่ใช่มะเร็ง
  • ทำให้ต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น การตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) ซึ่งอาจสร้างความกังวลแก่ผู้รับการตรวจ

2.3 ผลลบเทียม (False Negative)

  • แม้จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็อาจมีบางกรณีที่มะเร็งเต้านมไม่ปรากฏในภาพ แมมโมแกรม
  • พบได้มากในผู้หญิงที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่นหรือก้อนเนื้ออยู่ในตำแหน่งที่ซ่อนเร้น

2.4 ความรู้สึกไม่สบายขณะตรวจ

  • แรงกดระหว่างตรวจอาจทำให้รู้สึกเจ็บตึง แต่เป็นเพียงชั่วคราว

3. การลดข้อจำกัดของแมมโมแกรม

  • เลือกวันตรวจหลังหมดประจำเดือนเพื่อให้เนื้อเต้านมนุ่มและลดความเจ็บ
  • นำผลตรวจแมมโมแกรม ครั้งก่อนมาเปรียบเทียบเพื่อลดความเสี่ยงการตีความผิดพลาด
  • พิจารณาการตรวจเสริม เช่น อัลตราซาวด์เต้านม หรือ MRI เต้านม ในกรณีที่มีปัจจัยเสี่ยงหรือเนื้อเต้านมหนาแน่น

สรุป
แมมโมแกรม เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่ามากในการป้องกันและตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่เนิ่น ๆ ข้อดีของการตรวจมีน้ำหนักมากกว่าข้อจำกัด แต่การรับรู้ข้อจำกัดเหล่านี้จะช่วยให้ผู้หญิงเลือกวิธีตรวจที่เหมาะสมและเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย


ในบทถัดไป เราจะเข้าสู่ บทที่ 9: ใครควรตรวจแมมโมแกรมบ้าง? เพื่อให้ผู้อ่านประเมินตัวเองได้ว่าควรเริ่มตรวจเมื่อไรและบ่อยแค่ไหน


ใครควรตรวจแมมโมแกรม บ้าง?

แม้การ ตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) จะมีประโยชน์กับผู้หญิงทุกคน แต่บางกลุ่มมีความเสี่ยงสูงกว่าปกติและควรเริ่มตรวจเร็วกว่าหรือบ่อยกว่ามาตรฐาน การรู้ว่าตนเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ จะช่วยให้สามารถวางแผน การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ได้อย่างเหมาะสม


1. ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป

  • องค์การอนามัยโลก (WHO) และสมาคมโรคมะเร็งในหลายประเทศแนะนำให้ผู้หญิงเริ่ม ตรวจแมมโมแกรม เป็นประจำตั้งแต่อายุ 40 ปี
  • ความถี่: ทุก 1–2 ปี หรือบ่อยกว่านั้นตามคำแนะนำของแพทย์

2. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม

  • หากมี ญาติสายตรง (แม่ พี่สาว หรือน้องสาว) เป็นมะเร็งเต้านม ควรเริ่มตรวจเร็วกว่ามาตรฐาน
  • บางกรณีอาจต้องตรวจตั้งแต่อายุ 30–35 ปี และตรวจร่วมกับ อัลตราซาวด์เต้านม หรือ MRI เต้านม

3. ผู้ที่มียีนกลายพันธุ์ BRCA1 หรือ BRCA2

  • การมียีนกลายพันธุ์เหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมหลายเท่า
  • แพทย์มักแนะนำให้ตรวจแมมโมแกรม ร่วมกับ MRI เต้านมตั้งแต่อายุ 25–30 ปี

4. ผู้ที่เคยได้รับการฉายรังสีบริเวณหน้าอก

  • เช่น การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในวัยเด็กหรือวัยรุ่น
  • ควรเริ่มตรวจแมมโมแกรม ภายใน 8–10 ปีหลังการฉายรังสี หรือเมื่ออายุ 30 ปี (เลือกช่วงที่ถึงก่อน)

5. ผู้ที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น (Dense Breast Tissue)

  • เนื้อเต้านมหนาแน่นทำให้ตรวจพบมะเร็งได้ยากขึ้นจากภาพ แมมโมแกรม
  • ควรตรวจเสริมด้วย อัลตราซาวด์เต้านม เพื่อเพิ่มความแม่นยำ

6. ผู้ที่มีประวัติการตรวจพบความผิดปกติของเต้านม

  • เช่น เคยพบซีสต์ เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง (Benign Tumor) หรือเคยผ่าตัดเต้านม
  • ควรตรวจติดตามตามรอบที่แพทย์กำหนดอย่างเคร่งครัด

สรุป
แม้ผู้หญิงทุกคนควรตรวจแมมโมแกรม ตามคำแนะนำทั่วไป แต่กลุ่มเสี่ยงสูงควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุน้อยกว่ามาตรฐาน และตรวจถี่กว่าปกติ เพื่อเพิ่มโอกาสพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น


ในบทถัดไป เราจะพูดถึง บทที่ 10: คำแนะนำสำหรับการตรวจแมมโมแกรม ครั้งแรก เพื่อช่วยให้ผู้ที่ไม่เคยตรวจมาก่อนเตรียมตัวได้ถูกต้องและลดความกังวล


แมมโมแกรม Mammogram อัลตราซาวด์เต้านม Screening การตรวจแมมโมแกรม
แมมโมแกรม Mammogram อัลตราซาวด์เต้านม Screening การตรวจแมมโมแกรม

คำแนะนำสำหรับการตรวจแมมโมแกรม ครั้งแรก

สำหรับผู้หญิงหลายคน การเข้ารับ การตรวจแมมโมแกรม (Mammogram) ครั้งแรกอาจทำให้รู้สึกกังวลหรือไม่มั่นใจว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร การเข้าใจขั้นตอนและข้อควรรู้ล่วงหน้าจะช่วยให้ประสบการณ์ครั้งแรกเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลตรวจที่ชัดเจนที่สุด


1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ แมมโมแกรม ล่วงหน้า

  • รู้ว่า แมมโมแกรม คือการ ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ด้วยรังสีเอกซ์ปริมาณต่ำ เพื่อค้นหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อเต้านม
  • เข้าใจว่าขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นานและมีความปลอดภัยสูง

2. เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน

  • เลือกโรงพยาบาลหรือศูนย์ตรวจสุขภาพที่มีเครื่อง แมมโมแกรม รุ่นใหม่และมีรังสีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเต้านม
  • หากเป็นไปได้ เลือกสถานที่ที่มีบริการ อัลตราซาวด์เต้านม ควบคู่ เพื่อใช้ตรวจเสริมในกรณีที่มีเนื้อเต้านมหนาแน่น

3. การเตรียมตัวก่อนตรวจ

  • เลือกวันตรวจในช่วง 1 สัปดาห์หลังหมดประจำเดือน เพื่อให้เนื้อเต้านมนุ่มและลดความเจ็บตึง
  • หลีกเลี่ยงการใช้แป้ง โรลออน โลชั่น หรือสเปรย์ระงับกลิ่นใต้วงแขนและบริเวณเต้านม
  • ใส่เสื้อผ้าที่ถอดส่วนบนได้ง่าย เช่น เสื้อแยกชิ้นจากกางเกงหรือกระโปรง

4. นำประวัติการตรวจครั้งก่อน (ถ้ามี)

  • หากเคยตรวจ แมมโมแกรม หรือ อัลตราซาวด์เต้านม ควรนำผลเดิมมาให้รังสีแพทย์เปรียบเทียบ
  • การเปรียบเทียบผลเก่ากับผลใหม่ช่วยให้ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงได้แม่นยำขึ้น

5. เตรียมใจรับความรู้สึกระหว่างตรวจ แมมโมแกรม

  • ระหว่างตรวจ เต้านมจะถูกกดเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนที่สุด อาจรู้สึกเจ็บหรือไม่สบายเล็กน้อย
  • ความรู้สึกนี้จะหายไปทันทีเมื่อขั้นตอนเสร็จสิ้น
  • หากรู้สึกกังวล สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อปรับแรงกดให้เหมาะสม

6. วางแผนการตรวจซ้ำตามคำแนะนำแพทย์

  • หากผลปกติ ให้ตรวจซ้ำทุก 1–2 ปี ตามช่วงอายุและปัจจัยเสี่ยง
  • หากพบความผิดปกติ อาจต้องตรวจเพิ่มเติมด้วย MRI เต้านม หรือทำการตัดชิ้นเนื้อ (Biopsy) เพื่อวินิจฉัย

สรุป
การตรวจแมมโมแกรม ครั้งแรกไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเตรียมตัวและทำความเข้าใจขั้นตอนล่วงหน้า นอกจากจะช่วยให้การตรวจเป็นไปอย่างราบรื่นแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสค้นพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาให้ได้ผลดีที่สุด

ศูนย์กลืนไอโอดีน

ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้าง ให้บริการศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างความงามครบวงจร ทั้งการเสริมจมูก การดูดไขมัน การเสริมหน้าอก การดึงหน้า และการฟื้นฟูหลังการบาดเจ็บ สำหรับผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศ ด้วยศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้เทคนิคการผ่าตัดและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทีมงานของเรามอบผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเฉพาะบุคคล ภายในโรงพยาบาลปิยะเวทที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน JCI
Scroll to Top