มะเร็ง ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Cancer) เป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทำงานและวัยกลางคน โรคนี้แม้จะสามารถรักษาได้หลายวิธีและมีอัตราการรอดชีวิตที่สูง แต่สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยทุกคนไม่ควรมองข้ามคือ การปฏิบัติตนของผู้ป่วย มะเร็ง ต่อมไทรอยด์ เพราะการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องจะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น ฟื้นตัวเร็วขึ้น และยังช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรค โดยทั่วไป การรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ อาจรวมถึงการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ การกลืนแร่ไอโอดีน การใช้ยาฮอร์โมนทดแทน และการติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง หลังการรักษา ผู้ป่วยหลายรายอาจเผชิญการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น เสียงแหบ, ระดับแคลเซียมต่ำ, หรือ ความผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ดังนั้น หากมี การปฏิบัติตนอย่างถูกวิธี ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ หรือโภชนาการ ย่อมช่วยเสริมให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลและมั่นใจ
นอกจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว โภชนาการผู้ป่วยมะเร็ง ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการฟื้นฟูร่างกาย ผู้ป่วยควรรู้จักเลือกอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจกระทบต่อการรักษา และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงควบคู่ไปกับการออกกำลังกายที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน สุขภาพจิตผู้ป่วยมะเร็ง ก็มีบทบาทสำคัญ เพราะกำลังใจและทัศนคติที่ดีจะช่วยให้ผู้ป่วยผ่านกระบวนการรักษาไปได้อย่างราบรื่น ลดความวิตกกังวล และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นในระยะยาว
ดังนั้น บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับ การปฏิบัติตนของผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ ตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนการรักษา การดูแลหลังการผ่าตัด การปฏิบัติตนหลังกลืนแร่ การจัดการโภชนาการที่เหมาะสม การใช้ยาฮอร์โมนทดแทน ไปจนถึงการดูแลสุขภาพจิตและการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้ได้จริง และใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

ทำความเข้าใจกับโรค มะเร็งต่อมไทรอยด์
การจะเริ่มต้น การปฏิบัติตนของผู้ป่วย มะเร็งต่อมไทรอยด์ ได้อย่างถูกต้อง สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการเข้าใจโรคนี้อย่างถ่องแท้ มะเร็งต่อมไทรอยด์ เกิดขึ้นจากความผิดปกติของเซลล์ในต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณลำคอด้านหน้า เซลล์เหล่านี้เจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้อ และอาจลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่นได้
มะเร็งต่อมไทรอยด์ มีหลายชนิด ได้แก่
- มะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดแยกตัวดี (Differentiated Thyroid Cancer) เช่น Papillary และ Follicular ซึ่งพบบ่อยที่สุด และมักตอบสนองต่อการรักษาได้ดี
- มะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดแอนพลาสติก (Anaplastic Thyroid Cancer) ซึ่งพบได้น้อยแต่มีความรุนแรงสูง
- มะเร็งต่อมไทรอยด์ชนิดมีเซลล์ประสาท (Medullary Thyroid Cancer) ที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมบางชนิด
อาการของ มะเร็งต่อมไทรอยด์ ที่ควรสังเกต ได้แก่
- มีก้อนหรือตุ่มที่คอซึ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ
- กลืนลำบาก หายใจลำบาก หรือรู้สึกเจ็บคอเรื้อรัง
- เสียงแหบโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโตผิดปกติ
การวินิจฉัย มะเร็งต่อมไทรอยด์ ต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน เช่น การตรวจร่างกาย การทำอัลตราซาวด์ การตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ และการเจาะชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งจะช่วยยืนยันผลและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
เมื่อผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งต่อมไทรอยด์ การรักษาที่แพทย์อาจเลือกใช้ ได้แก่ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออก การกลืนแร่ไอโอดีน การใช้ยาฮอร์โมนทดแทน หรือการรักษาเฉพาะทางตามชนิดของมะเร็ง ซึ่งแต่ละวิธีล้วนมีข้อดี ข้อจำกัด และความจำเป็นในการดูแลตนเองที่แตกต่างกัน
ดังนั้น การเข้าใจโรค มะเร็งต่อมไทรอยด์ อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ อาการ หรือแนวทางการรักษา จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวเตรียมตัวได้ดียิ่งขึ้น และพร้อมสำหรับการเรียนรู้ แนวทางการปฏิบัติตนของผู้ป่วย มะเร็งต่อมไทรอยด์ ที่เหมาะสมในทุกระยะของการรักษา
การปฏิบัติตนก่อนการรักษา มะเร็งต่อมไทรอยด์
การเตรียมตัวก่อนเข้าสู่กระบวนการ รักษา มะเร็งต่อมไทรอยด์ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผู้ป่วยไม่ควรมองข้าม เพราะการมีร่างกายและจิตใจที่พร้อม จะช่วยให้การรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความกังวลและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
1. การตรวจและการเตรียมร่างกาย
ผู้ป่วย มะเร็งต่อมไทรอยด์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด อาทิ การตรวจเลือด การอัลตราซาวด์ หรือการตรวจชิ้นเนื้อเพิ่มเติม เพื่อประเมินความรุนแรงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ในบางราย แพทย์อาจให้ปรับการใช้ยาหรือปรับพฤติกรรมการกิน เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนเข้ารับการรักษา
2. การปรับโภชนาการก่อนการรักษา
ในกรณีที่ต้องเตรียมตัวสำหรับ การกลืนแร่ไอโอดีน ผู้ป่วยอาจต้องลดหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไอโอดีนสูง เช่น สาหร่ายทะเล อาหารทะเลบางชนิด เกลือเสริมไอโอดีน และอาหารแปรรูปที่มีส่วนผสมของไอโอดีน เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้ ควรปรึกษานักโภชนาการหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน โภชนาการผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
3. การเตรียมสภาพจิตใจ
การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น มะเร็งต่อมไทรอยด์ อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้าได้ ดังนั้น การพูดคุยกับครอบครัว ทีมแพทย์ หรือผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์การรักษา จึงมีส่วนช่วยเสริมกำลังใจและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วย นอกจากนี้ การทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น การอ่านหนังสือ การทำสมาธิ หรือการฟังเพลงบำบัด ยังช่วยให้ผู้ป่วยมี สุขภาพจิตที่ดี ก่อนเข้ารับการรักษา
4. การจัดการชีวิตประจำวัน
ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาประจำ เช่น ยาลดความดัน ยาละลายลิ่มเลือด หรืออาหารเสริมบางชนิด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อ การรักษา มะเร็งต่อมไทรอยด์ นอกจากนี้ การพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเบา ๆ และรักษาสุขอนามัย ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายพร้อมสำหรับการรักษา
สรุปได้ว่า การปฏิบัติตนก่อนการรักษา มะเร็งต่อมไทรอยด์ ไม่เพียงแต่ช่วยเตรียมร่างกายให้แข็งแรง แต่ยังช่วยเสริมพลังใจและสร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วย เพื่อให้ก้าวเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด
การปฏิบัติตนของผู้ป่วย มะเร็งต่อมไทรอยด์
หลังจากผู้ป่วยมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้รับการผ่าตัดต่อมไทรอยด์แล้ว การรักษาขั้นตอนต่อไป คือ การรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน (I-131) ด้วยวิธีการรับประทาน
ระยะเวลาในการรักษาตัวในโรงพยาบาล
การรักษามะเร็งต่อมไทรอยด์ด้วยการรับประทานสารกัมมันตรังสีไอโอดีนขนาดสูง ผู้ป่วยต้องอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 3-7 วัน หรือจนกว่ารังสีจะถูกขับออกจากร่างกายอยู่ในระดับที่ปลอดภัย แพทย์จึงให้กลับบ้านได้
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
-
- เตรียมของใช้ประจำวัน เช่น สบู่ แป้ง ยาสีฟัน แปรงสีฟัน หนังสืออ่านเล่น มือถือ วิทยุ
- เตรียมลูกอมรสเปรี้ยว เช่น บ๊วย เพื่อเพิ่มการขับน้ำลาย ลดการอักเสบของต่อมน้ำลายจากสารกัมมันตรังสีไอโอดีน
- ช่วงระยะเวลาก่อนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลควรงดอาหารที่มีไอโอดีนสูง เช่น เกลือเสริมไอโอดีน, อาหารทะเล ประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนเข้ารับการรักษา
หากมีโรคประจำตัวควรบอกแพทย์ และนำยาที่รับประทานประจำมาด้วย
การปฏิบัติตนขณะรับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน
ผู้ป่วย มะเร็งต่อมไทรอยด์ ที่เข้ารับ การกลืนสารกัมมันตรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine Therapy) จำเป็นต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด และเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีไปสู่ผู้อื่น
การดื่มน้ำและการขับถ่าย
- หลังรับประทานสารกัมมันตรังสีไอโอดีนแล้ว 1 ชั่วโมง ควร ดื่มน้ำปริมาณมาก ประมาณ 8 แก้วต่อวัน (ยกเว้นกรณีที่มีโรคประจำตัวต้องจำกัดน้ำ)
- ควร ปัสสาวะบ่อย ๆ เพื่อช่วยขับสารกัมมันตรังสีออกจากร่างกายโดยเร็ว
- หลังการขับถ่าย ควร กดชักโครก 2–3 ครั้ง และราดน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้ง
การกระตุ้นต่อมน้ำลาย
- เมื่อครบ 24 ชั่วโมงหลังรับประทานสาร ควร อมวิตามินซี (50 มก.) หรือ ลูกอมรสเปรี้ยว ทุก 2 ชั่วโมง (ยกเว้นเวลานอน)
- ความเปรี้ยวจะช่วยกระตุ้นให้มีน้ำลายออกมากขึ้น ช่วยลดการคั่งของสารรังสีในต่อมน้ำลาย และป้องกัน ต่อมน้ำลายอักเสบ
การรับประทานอาหาร
- รับประทานอาหารได้ตามปกติ ยกเว้น อาหารทะเลหรืออาหารที่มีไอโอดีนสูง ซึ่งโรงพยาบาลได้จัดเมนูที่เหมาะสมให้แล้ว
- ในแต่ละมื้อ ควรรับประทานให้หมด ไม่ควรเหลืออาหาร เพราะอาหารที่เหลืออาจปนเปื้อนน้ำลายที่มีรังสี และกลายเป็น ขยะกัมมันตรังสี
- หากต้องการทานผลไม้ ควรเลือกผลไม้ที่ กินได้หมดทั้งผล เพื่อลดการคายเมล็ดหรือกากที่ปนรังสี
การจัดการของเหลวในร่างกาย
- เสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ควรบ้วนทิ้งลงอ่างล้างหน้า หรือโถชักโครก แล้วกดน้ำทันที
- ควร อาบน้ำและสระผมบ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อลดสารกัมมันตรังสีที่ขับออกทางเหงื่อ
ข้อควรระวังด้านความปลอดภัย
- ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และ หญิงตั้งครรภ์ เข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด
- ญาติสามารถเข้าเยี่ยมได้ไม่เกิน 15 นาที และต้องยืนหลังฉากตะกั่วที่โรงพยาบาลจัดไว้ เพื่อป้องกันการได้รับรังสีโดยไม่จำเป็น
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรืออ่อนเพลียรุนแรง ควรแจ้งแพทย์หรือพยาบาลทันที
การปฏิบัติตนเมื่อกลับบ้านหลังจากได้รับการรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน
แม้ว่าแพทย์จะอนุญาตให้ผู้ป่วย มะเร็งต่อมไทรอยด์ กลับบ้านได้หลังจากเข้ารับ การรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine Therapy) แต่ในร่างกายของผู้ป่วยยังคงมีสารกัมมันตรังสีหลงเหลืออยู่ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ ลดลงตามเวลา แม้ปริมาณดังกล่าวจะไม่เป็นอันตรายโดยตรงต่อผู้ป่วย แต่เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวและบุคคลรอบข้าง จึงควร ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมต่อเนื่องเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ดังนี้
การดื่มน้ำและการขับถ่าย
- ควร ดื่มน้ำมาก ๆ และปัสสาวะบ่อย ๆ เพื่อเร่งการขับสารกัมมันตรังสีออกจากร่างกาย
- หลังการใช้ห้องน้ำควร กดชักโครก 2–3 ครั้ง และราดน้ำมาก ๆ พร้อมล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้ง
การใช้ชีวิตประจำวัน
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่ควร หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดเด็กและหญิงตั้งครรภ์ เป็นเวลานาน
- ควร แยกนอนคนเดียว หรือเว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตร
- แยกภาชนะใส่อาหาร หรือใช้ช้อนกลางเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนของน้ำลายที่อาจมีสารรังสี
- ซักเสื้อผ้าแยกจากผู้อื่น เนื่องจากสารรังสีสามารถขับออกทางเหงื่อ
การใช้ยาและการดูแลต่อเนื่อง
- รับประทาน ยาไทรอยด์ฮอร์โมน ตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล
- งดเว้นการตั้งครรภ์ จนกว่าแพทย์จะยืนยันว่าปลอดภัย หากมีแผนการตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- มาพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ เพื่อประเมินการฟื้นตัวและติดตามระดับฮอร์โมน
การจัดการเมื่อมีอาการผิดปกติ
- หากพบอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ร่างกายอ่อนเพลีย หรืออาการที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับ โรคต่อมไทรอยด์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ใกล้บ้าน
- หากแพทย์สงสัยว่าอาการเกี่ยวข้องกับ มะเร็ง ต่อมไทรอยด์ หรือผลข้างเคียงจากการรักษา ผู้ป่วยสามารถมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลได้ก่อนวันนัดหมาย
ข้อมูลโดย: สาขาเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย