บทความเพื่อสุขภาพ

ทันตกรรมรักษาโรค การนอนกรน

การนอนหลับคือช่วงเวลาที่ร่างกายได้พักผ่อน แต่หลายคนกลับเผชิญกับปัญหา การนอนกรน และบางรายยังมีภาวะ หยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต การรักษาแบบดั้งเดิมด้วย เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) หรือการผ่าตัดไม่เหมาะกับผู้ป่วยทุกคน จึงเกิดทางเลือกใหม่คือ ทันตกรรมรักษาโรคนอนกรน โดยใช้ ทันตอุปกรณ์ (Oral Appliance) ที่ออกแบบเฉพาะบุคคลเพื่อจัดตำแหน่งขากรรไกรและลิ้นไม่ให้ปิดกั้นทางเดินหายใจ ลดทั้งการนอนกรนและ OSA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุปกรณ์มีขนาดเล็ก ใช้ง่าย พกพาสะดวก ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า และสามารถใช้ร่วมกับวิธีอื่น เช่น การปรับพฤติกรรมหรือ Sleep test เพื่อติดตามผล แม้อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยแต่ควบคุมได้ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่สาเหตุ ประเภท กลไก ไปจนถึงข้อดีข้อเสียและวิธีดูแล เพื่อช่วยตัดสินใจว่าการรักษานี้เหมาะกับคุณหรือไม่

การนอนกรน OSA ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ CPAP ทันตอุปกรณ์ sleep
การนอนกรน OSA ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ CPAP ทันตอุปกรณ์ sleep

โรค การนอนกรน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับคืออะไร

หลายคนอาจคิดว่า “การนอนกรน” เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นตามอายุหรือความเหนื่อยล้า แต่ในความจริงแล้ว การนอนกรน อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะเมื่อมีภาวะ หยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้คุณภาพการนอนลดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้


ความหมายของการนอนกรน

การนอนกรน (Snoring) เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจส่วนบน โดยเฉพาะบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และโคนลิ้น เมื่อผู้ป่วยนอนหลับ กล้ามเนื้อในคอจะผ่อนคลาย ทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง อากาศที่ผ่านเข้าออกจึงเกิดแรงเสียดทานและเสียงสั่นสะเทือนตามมา ความดังของเสียงกรนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเดินหายใจและปัจจัยเสริมอื่น ๆ เช่น น้ำหนักตัว พฤติกรรมการนอน และการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน

แม้การนอนกรนที่ไม่รุนแรงอาจดูเหมือนไม่อันตราย แต่หากมีความถี่และความดังมากจนรบกวนคนรอบข้าง หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วม เช่น สะดุ้งตื่นกลางดึก เหนื่อยง่ายในตอนเช้า หรือมีอาการง่วงนอนตอนกลางวัน ควรเข้ารับการตรวจคัดกรอง เพราะอาจเกี่ยวข้องกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้


ความแตกต่างระหว่างการนอนกรนทั่วไปกับหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)

การนอนกรนทั่วไปมักเป็นเพียงเสียงรบกวนที่เกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจ แต่ OSA ถือเป็นภาวะที่รุนแรงกว่า เพราะเป็นการอุดกั้นของทางเดินหายใจที่ทำให้ การหายใจหยุดชะงักชั่วคราว โดยนิยามแล้ว หากผู้ป่วยมีช่วงหยุดหายใจอย่างน้อย 10 วินาทีต่อครั้ง และเกิดซ้ำ ๆ หลายครั้งในหนึ่งชั่วโมง จะถือว่ามีความเสี่ยงต่อ OSA

ดัชนีที่ใช้วัดความรุนแรงของภาวะนี้คือ Apnea-Hypopnea Index (AHI)

  • AHI < 5 ครั้ง/ชั่วโมง → ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • AHI 5–14 ครั้ง/ชั่วโมง → ภาวะหยุดหายใจระดับเล็กน้อย
  • AHI 15–29 ครั้ง/ชั่วโมง → ระดับปานกลาง
  • AHI ≥ 30 ครั้ง/ชั่วโมง → ระดับรุนแรง

ดังนั้น หากผู้ป่วยนอนกรนร่วมกับมี AHI สูงกว่า 5 ครั้งขึ้นไป ควรได้รับการประเมินโดยละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอน


สาเหตุที่ทำให้เกิดการนอนกรนและ OSA

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการนอนกรนและ OSA มีหลายประการ โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้:

  1. โครงสร้างทางกายภาพ
    • เพดานปากหย่อนยาน หรือลิ้นไก่ยาว
    • โคนลิ้นหนาและตกไปด้านหลังเมื่อหลับ
    • ขากรรไกรล่างเล็กหรือถอยร่น ทำให้ช่องคอแคบ
    • โพรงจมูกคด หรือมีเนื้อเยื่ออุดกั้น
  2. ปัจจัยทางสุขภาพ
    • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน → ไขมันสะสมรอบคอทำให้ช่องคอเล็กลง
    • โรคต่อมทอนซิลโตในเด็กและผู้ใหญ่
    • ภาวะต่อมไทรอยด์โต
  3. พฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
    • การนอนหงาย → ลิ้นและขากรรไกรตกไปปิดทางเดินหายใจ
    • การดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยากล่อมประสาท → ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวมากเกินไป
    • การสูบบุหรี่ → ก่อให้เกิดการอักเสบและบวมในทางเดินหายใจ
  4. ปัจจัยด้านอายุและพันธุกรรม
    • เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อคอหย่อนคลายมากขึ้น
    • พันธุกรรม เช่น คนในครอบครัวมีประวัติกรนหรือ OSA

ผลกระทบของการนอนกรนและ OSA ต่อสุขภาพ

หากปล่อยปัญหานอนกรนและ OSA ไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายด้าน เช่น:

  • คุณภาพการนอนลดลง ทำให้ง่วงกลางวัน ขาดสมาธิ
  • เสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการหลับใน
  • เพิ่มความดันโลหิตและภาระการทำงานของหัวใจ
  • เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
  • ในเด็ก อาจมีผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการ

ดังนั้น การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “นอนกรนธรรมดา” และ “OSA” ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการดูแลสุขภาพ เพราะการรักษาและการเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยที่ถูกต้องเสมอ

ทันตกรรมรักษาโรคนอนกรนคืออะไร

ทันตกรรมรักษาโรคนอนกรน เป็นสาขาหนึ่งของทันตกรรมที่มุ่งเน้นการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหา การนอนกรน และ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) โดยใช้วิธีการที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ยุ่งยากเทียบเท่าการใช้ เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (CPAP) วิธีนี้อาศัย ทันตอุปกรณ์ (Oral Appliance) ที่ออกแบบเฉพาะบุคคลเพื่อช่วยจัดตำแหน่งขากรรไกรและลิ้นให้เหมาะสม ลดการอุดกั้นทางเดินหายใจ และทำให้การนอนหลับมีคุณภาพมากขึ้น


บทบาทของทันตแพทย์ด้านการนอน (Dental Sleep Medicine)

สาขา Dental Sleep Medicine เกิดขึ้นเพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีปัญหาการนอนกรนและ OSA โดยทันตแพทย์ที่ผ่านการอบรมเฉพาะทางจะทำงานร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอน เพื่อประเมิน ออกแบบ และติดตามผลการใช้ ทันตอุปกรณ์ ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจคัดกรองด้วย Sleep test ก่อนเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาด้วยทันตกรรมเหมาะสมกับระดับความรุนแรงของโรค

ทันตแพทย์จะพิมพ์ฟัน ทำแบบจำลอง และส่งไปผลิตอุปกรณ์ที่มีขนาดพอดีกับปากของผู้ป่วย อุปกรณ์นี้ไม่ใช่การซื้อทั่วไปตามท้องตลาด แต่เป็น Custom-made Oral Appliance ที่ปรับให้เข้ากับสรีระแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ


ทันตอุปกรณ์ (Oral Appliance) คืออะไร

ทันตอุปกรณ์ คืออุปกรณ์ที่สวมใส่ในช่องปากระหว่างนอนหลับ โดยมี 2 ชนิดหลักคือ

  1. Mandibular Advancement Device (MADs) – อุปกรณ์ที่ช่วยดันขากรรไกรล่างไปข้างหน้า ทำให้ลิ้นและเนื้อเยื่อบริเวณคอไม่ตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ วิธีนี้ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากใช้งานง่ายและสามารถปรับระดับการดันขากรรไกรได้ทีละน้อยเพื่อลดผลข้างเคียง
  2. Tongue Retaining Device (TRDs) – อุปกรณ์ที่ช่วยยึดลิ้นไว้ด้านหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีฟันหรือมีฟันเหลือน้อย ลดโอกาสที่ลิ้นจะตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ

ทั้งสองแบบออกแบบให้ปลอดภัย ผลิตจากวัสดุที่ผ่านมาตรฐานทางการแพทย์ และมีความแข็งแรงแต่ยืดหยุ่นเพียงพอที่จะสวมใส่ได้อย่างสบาย


กระบวนการพิมพ์ฟันและผลิตอุปกรณ์เฉพาะบุคคล

ความแตกต่างสำคัญของ ทันตกรรมรักษาโรคนอนกรน เมื่อเทียบกับการซื้ออุปกรณ์ทั่วไป คือการผลิตแบบ เฉพาะบุคคล (Custom-made) โดยขั้นตอนมีดังนี้

  • ตรวจวินิจฉัยเบื้องต้น: ทันตแพทย์จะซักประวัติ ตรวจสุขภาพช่องปาก และประเมินผลการทำ Sleep test
  • พิมพ์ฟันและกัดสบ: เพื่อเก็บรายละเอียดสรีระของฟันและขากรรไกรล่าง
  • ออกแบบอุปกรณ์: ส่งแบบพิมพ์ไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อผลิต Oral Appliance ที่พอดีกับปาก
  • ลองใส่และปรับแต่ง: ผู้ป่วยจะทดลองสวมและทันตแพทย์จะปรับให้เหมาะสมที่สุด ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและความสบาย
  • ติดตามผล: หลังใช้ไป 2–3 สัปดาห์ แพทย์จะนัดเพื่อตรวจอาการและอาจให้ผู้ป่วยตรวจ Sleep test ซ้ำเพื่อวัดผลการรักษา

การผลิตแบบเฉพาะบุคคลนี้ช่วยให้ผู้ป่วยสวมใส่ได้พอดี ไม่หลุดง่าย และสามารถใช้งานระยะยาวได้อย่างปลอดภัย


ความแตกต่างจากการรักษาแบบอื่น

แม้การรักษาด้วย CPAP จะยังถือเป็นมาตรฐานทองคำสำหรับผู้ป่วย OSA ระดับรุนแรง แต่ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยไม่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ เนื่องจากรู้สึกอึดอัดหรือมีเสียงดังจากเครื่อง ขณะที่การผ่าตัดแก้อุดกั้นทางเดินหายใจก็มีความเสี่ยงและผลลัพธ์ไม่แน่นอน

ตรงกันข้าม การใช้ ทันตอุปกรณ์ เป็นวิธีที่ไม่รุกราน ใช้งานง่าย และสามารถใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ได้ เช่น ใช้คู่กับ CPAP เพื่อลดแรงดันของอากาศ หรือใช้ร่วมกับการผ่าตัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา


จุดเด่นของทันตกรรมรักษาโรคนอนกรน

  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่เสี่ยงต่อการเกิดแผลหรือการพักฟื้น
  • ใช้ง่ายกว่าและพกพาสะดวกกว่าการใช้ CPAP
  • เหมาะสำหรับผู้ป่วย การนอนกรน อย่างเดียว หรือ OSA ระดับเล็กน้อย–ปานกลาง
  • สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของผู้ป่วย
  • ได้ผลดีเมื่อผู้ป่วยมีการติดตามรักษากับทันตแพทย์และทำ Sleep test เพื่อตรวจซ้ำ

บทสรุป

ทันตกรรมรักษาโรคนอนกรน คือการนำศาสตร์ด้านทันตกรรมมาผสานกับการแพทย์การนอน เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มี การนอนกรน และ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ โดยใช้ ทันตอุปกรณ์ (Oral Appliance) ที่ออกแบบเฉพาะบุคคล ช่วยเปิดทางเดินหายใจ ลดการอุดกั้น และเพิ่มคุณภาพการนอนหลับ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ปลอดภัย สะดวก และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่สามารถใช้ CPAP ได้ต่อเนื่องหรือไม่ต้องการผ่าตัด

ศูนย์ทันตกรรม

ชั้น 5,

อาคารหลัก

เปิดทุกวัน 07.00-17.00 น.

โทร. 02-129-5555

Scroll to Top