กระจกตาอักเสบติดเชื้อจากเชื้อรา (Fungal keratitis)

กระจกตาอักเสบติดเชื้อจากเชื้อรา 

เป็นการติดเชื้อที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุของการสูญเสียการมองเห็นที่สำคัญของในประเทศแถบเขตร้อนชื้นและประเทศกำลังพัฒนา  ซึ่งมักทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อที่ค่อนข้างรุนแรง  และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกระจกตาทะลุได้บ่อย  เชื้อราก่อโรคสามารถแบ่งได้เป็น  2  ประเภทหลักๆ ได้แก่

  1. ยีสต์ (yeast) เป็นจุลชีพเซลล์เดียวลักษณะกลมที่สามารถแบ่งตัวด้วยการแตกหน่อ  เชื้อราในกลุ่มนี้ ได้แก่ กลุ่ม Candida spp. 
  2. ราสาย (filamentous fungi) เป็นจุลชีพหลายเซลล์ที่สามารถสร้างท่อภายในมีนิวเคลียสและไซโทพลาซึมกระจายอยู่ทั่วไปในลักษณะของเส้นใย  ซึ่งเส้นในของราสายยังสามารถแบ่งออกได้เป็นอีก  2  ประเภท  คือ  เส้นใยแบบไม่มีผนังกั้น  (non-septate hyphae)  และเส้นใยแบบมีผนังกั้น  (septate hyphae)  เส้นใยของเชื้อรา  อาจพบได้ทั้งชนิดที่มีสีและไม่มีสี 

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่

  1. สภาพภูมิอากาศเขตร้อนและร้อนชื้น
  2. การประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม โดยเฉพาะประวัติอุบัติเหตุต่อดวงตาอันเกิดจากพืชสวนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ซึ่งแม้จะเป็นอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยแต่ก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อราที่รุนแรงตามมา
  3. การใช้ยาหยอดตากลุ่มเสเตียรอยด์อย่างต่อเนื่องยาวนาน
  4. มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับระดับภูมิคุ้มกันที่ต่ำ เป็นโรคเบาหวาน  หรือได้รับยากดภูมิ

อาการและอาการแสดงเฉพาะ

มักมีอาการและการดำเนินของโรคอย่างค่อยเป็นค่อยไป  มีอาการปวดตา  ตาแดง  สู้แสงไม่ได้  ตามัวและมีขี้ตาลักษณะเป็นน้ำหรือเป็นชนิดเมือกปนหนอง  ลักษณะรอยโรคบางประการที่ช่วยบ่งชี้ถึงการติดเชื้อจากเชื้อราได้ ยกตัวอย่างเช่น

  1. กระจกตาอักเสบติดเชื้อจากเชื้อราสาย (filamentous fungi)  รอยโรคมักเป็นสีเทา  หรือขาวเหลือง  ที่มีขอบปุยคล้ายขนนก  และไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน  มักพบลักษณะของรอยโรคเล็กๆ  ที่กระจายอยู่รอบๆรอยโรคหลัก  หากรอยโรคลุกลามมักลุกลามลงในชั้นลึกของกระจกตา  เกิดเป็นแผ่นขาวที่กระจกตาชั้นในสุด 
  2. กระจกตาอักเสบติดเชื้อจากรายีสต์ รอยโรคมักเป็นสีเหลืองขาว  เป็นหนอง  ซึ่งมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับรอยโรคของกระจกตาอักเสบติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดแกรมบวก

แนวทางการรักษา

แนวทางการรักษาและการรักษาโดยทั่วไป  ทั้งเรื่องของการให้ยา  การพิจารณาให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาล  การรักษาด้วยการผ่าตัด และแนวทางการติดตามการรักษา  จะพิจารณาไปในแนวทางเดียวกับการรักษาภาวะกระจกตาอักเสบติดเชื้อจากแบคทีเรีย  เพียงแต่การตอบสนองต่อการรักษาจะเป็นไปอย่างช้าๆ  เมื่อเปรียบเทียบกับการตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะของเชื้อแบคทีเรีย

  1. การรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา โดยทั่วไปจะพิจารณาให้ยาต้านเชื้อราชนิดหยอด  (topical antifungal) ทันทีหลังจากขูดกระจกตา  เพื่อทำการเพาะเชื้อเรียบร้อยแล้ว  โดยการให้หยอดยาบ่อยๆ ทุก1 ชั่วโมง  ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนนานอย่างน้อย 48 ชั่วโมง  แล้วจึงพิจารณาลดความถี่ของการหยอดยาลงตามลักษณะอาการและอาการแสดงที่ตอบสนอง  แต่เนื่องจากยาต้านเชื้อราส่วนมากมักมีฤทธิ์เพียงการยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา  จึงจำเป็นต้องให้การรักษาอย่างต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อย 6 สัปดาห์  ชนิดของยาต้านเชื้อราที่เลือกใช้จะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ นอกจากนี้  อาจพิจารณาให้ยาต้านเชื้อราในรูปแบบอื่นๆ  ร่วมด้วย  เช่น  การให้ยากิน  การใช้ยาต้านเชื้อราฉีดเข้าใต้เยื่อบุตาขาว  ฉีดเข้าโดยตรงบริเวณแผลที่กระจกตา  ฉีดเข้าในช่องหน้าลูกตาหรือฉีดทางหลอดเลือด  ในกรณีที่รอยโรครุนแรงถึงชั้นลึก  หรือรอยโรคลุกลามจนถึงเนื้อเยื่อตาขาว 
  1. การรักษาอื่นๆ นอกเหนือจากการให้ยาต้านเชื้อราในผู้ป่วยกระจกตาอักเสบติดเชื้อรา  เช่น  การขูดผิวกระจกตาบริเวณที่มีการติดเชื้อจะช่วยเสริมการแทรกซึมของยาต้านเชื้อราให้เข้าสู่เนื้อกระจกตาได้ดียิ่งขึ้น  รวมทั้งเป็นการกำจัดเนื้อตายออกไป  ทั้งนี้อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย  เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน  อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องให้ยาเสริมชนิดอื่นๆ  เช่นเดียวกับการติดเชื้อแบคทีเรีย  ได้แก่  ยาขยายม่านตา       ยาแก้ปวด ยาน้ำตาเทียมหรือยาที่ช่วยเร่งการสมานแผลและยับยั้งการเปื่อยสลายของแผลได้

 

 

 

Scroll to Top