วิตามิน D มีความสำคัญอย่างไร

วิตามิน D มีความสำคัญอย่างไร

วิตามินดี (Vitamin D) หรือ แคลซิเฟอรอล, ไวออสเตอรอล, เออร์กอสเตอรอล หรืออาจเรียกว่า “วิตามินแดด” เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ร่างกายของเราจะสร้างวิตามินชนิดนี้จากแสงแดดและได้รับวิตามินชนิดนี้บางส่วนจากอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ

เราทุกคนต่างคุ้นเคยกับ วิตามินดี (vitamin D) เป็นอย่างดี แต่น่าแปลกใจที่วิตามินดีเป็นวิตามินที่หลายคนละเลย เพราะเข้าใจว่าวิตามินชนิดนี้สามารถสร้างขึ้นได้ในร่างกายหลังจากถูกแสงแดด แต่ด้วยการใช้ชีวิตในปัจจุบันของคนเมืองส่วนใหญ่ มักนั่งทำงานในออฟฟิศ เมื่อต้องสัมผัสกับแสงแดดมักใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกาย รวมทั้งใช้ครีมกันแดด เป็นผลให้คนเมืองส่วนใหญ่ขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว คนไทยจำนวนมากจึงกำลังมีภาวะ “พร่องวิตามินดี”

ภาวะวิตามินดีต่ำ ถือว่าเป็น Pandemic อย่างหนึ่งของผู้คนทั้งโลกเลย ลองมองรอบๆ ตัวจะเห็นว่าเมืองใหญ่มีการขยายตัว มีตึกสูงระฟ้าบดบังแสงแดด ทำให้คนสมัยนี้ไม่ค่อยโดนแดดเยอะเหมือนคนสมัยก่อน แล้วรูปแบบการใช้ชีวิต การทำงาน โครงสร้างสังคม ต่างก็เป็นปัจจัยให้คนสมัยนี้ต้องทำงานในอาคารวันละหลายชั่วโมงต่อวัน เหมือนการจับให้คนมานั่งอยู่ในตึก แล้วทำงานๆ อยู่กับที่ โอกาสที่จะเจอแสงแดดก็น้อยลง รวมถึงไลฟ์สไตล์ด้านความสวยความงามของคนยุคใหม่ที่กลัวแดด กลัวฝ้า จนไม่อยากออกไปเจอแสงแดด กลายเป็นว่าร่างกายของผู้คนสมัยนี้สังเคราะห์ วิตามินดี จากแสงแดดโดยเฉลี่ยได้น้อยลงกว่าเดิม ทำให้ค่าเฉลี่ยวิตามินดีในร่างกายต่ำลงไปด้วย

การขาดวิตามินดีที่พบมากขึ้นในคนยุคนี้จึงทำให้ไม่เพียงกระดูกอ่อนแอ แต่ร่างกายโดยรวมอ่อนแอลงด้วย เพราะภาวะขาดวิตามินดีจะไปมีผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ และจะกระตุ้นการทำงานของยีนที่สัมพันธ์กับโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคติดเชื้อ โรคหืด เบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง โรคซึมเศร้า อัลไซเมอร์ รวมถึงปัญหาภูมิคุ้มกันต่ำ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน และที่สำคัญในเด็กเล็กหากขาดวิตามินดีจะทำให้มีพัฒนาการช้า เช่น เดิน-คลานช้า กระหม่อมปิดช้า และกระดูกไม่แข็งแรง

ประโยชน์ของวิตามินดี
  • ช่วยการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • ควบคุมระดับแคลเซียมในเลือด ในกระดูกและลำไส้
  • ช่วยการทำงานของระบบสังเคระห์สารสื่อประสาท ช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด ความแข็งแรงของปอดและระบบทางเดินหายใจ
  • มีผลต่อพัฒนาการทางสมอง
  • เพิ่มความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
  • รักษาระดับความเข้มข้นของแคลเซียมและฟอสเฟตในเลือด
  • เพื่อป้องกันการเกิดตะคริวเนื่องจากระดับแคลเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ (Hypocalcemic Tetany)
  • สำคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและกระบวนการจัดเรียงตัวใหม่ของเซลล์กระดูก
  • มีบทบาทในการปรับเปลี่ยนการเจริญเติบโตของเซลล์ การทำงานของระบบกล้ามเนื้อและภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า เนื่องจากวิตามินดี จะไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการผลิตฮอร์โมน เซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดที่ช่วยทำให้รู้สึกอารมณ์ดี ลดความวิตกกังวลจากภาวะของโรคซึมเศร้า ขณะที่การขาดเซโรโทนิน ส่งผลให้เกิดความเครียดได้
  • ช่วยลดอาการปวดหัวจากโรคไมเกรน เนื่องจากวิตามินดีจะไปช่วยให้ระบบหมุนเวียนเลือด ทำงานได้ดีขึ้นจึงส่งผลให้หลอดเลือดหดและคลายตัวตามปกติจึงช่วยลดอาการปวดหัวจากโรคไมเกรนได้
สามารถหาวิตามินดีได้จากที่ไหนบ้าง?

วิตามินดี ไม่อาจสังเคราะห์ขึ้นได้เองจากในร่างกายมนุษย์ แต่เราสามารถพบวิตามินดีได้ในอาหารที่เราทานเข้าไปในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว หรือได้มาจากการได้รับแสงแดดในตอนเช้า ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  1. วิตามินดีที่ได้จากการบริโภคอาหารแหล่งของอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดี ได้แก่ตับ ไข่แดง เนย นม ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า และน้ำมันตับปลา ปลาซาดีน เป็นต้น
  2. วิตามินดีที่ได้ จากการรับแสง UV นอกจากอาหารแล้ว การได้รับแสง UV ในตอนเช้า ยังสามารถช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินดี อีกด้วยซึ่งจะได้จำนวนมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของแสงแดดในวันนั้นๆ การโดนแดดช่วงเช้าหรือบ่ายแก่ๆ ที่ไม่ร้อนจนเกินไปสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 20-30 นาทีก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ร่างกายสร้างวิตามินดีได้อย่างเพียงพอ
  3. วิตามินดีที่ได้จากการทานอาหารเสริมปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ วิตามินดีซึ่งสามารถช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินดีในร่างกายได้แต่ก็มีราคาที่สูงด้วยเช่นกัน
Scroll to Top